บทที่ 5
งานเต้นรำหน้ากาก
-หกเดือนต่อมา-
งานเลี้ยงฉลองวันขึ้นปีใหม่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อมากมายถูกรับเชิญให้มาเฉลิมฉลองที่โรงละครแห่งนี้ รถม้าจากตระกูลต่างๆ ล้วนมาจอดเทียบหน้าประตูทางเข้าที่ประดับอย่างวิจิตรงดงาม
เช่นเดียวกับผู้เข้าร่วมงานก็ต่างแข่งกันประชันโฉม ทั้งเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายและที่ขาดไม่ได้เลยคือ ‘หน้ากาก’ ที่ปิดบังใบหน้าของแต่ละคน ตามธีมของงาน ‘แฟนตาซีหน้ากาก’
ร่างสูงโปร่งในชุดสูทคอตั้งสีแดงเพลิง ทิ้งชายชุดยาวดูสง่างาม โดดเด่นทันทียามย่างกายเข้ามาในงานเต้นรำ หน้ากากที่สวมใส่เป็นนิจยังคงอยู่บนใบหน้า
หากไม่ได้แปลกแยกจากบุคคลอื่นเท่าใดนัก เพราะนี่เป็นงานเต้นรำแฟนตาซีที่มีธีมเป็นหน้ากากอยู่แล้ว เว้นดาวเด่นของงาน…
หนุ่มสาวมากมายควงคู่กันมาเฉลิมฉลองงานเต้นรำ ไม่เว้นกระทั่งคุโรโกะกับคิเสะที่ต้องควงคู่กันมาในฐานะ ‘คู่หมั้น’
ครึ่งปีที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายอย่าง และเพื่อสร้างกระแสให้โรงละคร การกระตุ้นให้คนเกิดความสนใจนักแสดงก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง
ข่าวการหมั้นระหว่างผู้อุปถัมภ์หนุ่มและนักแสดงดาวรุ่ง เป็นหนึ่งในเชื้อชั้นดีของวงการ
แม้ไม่เต็มใจนัก… แต่คุโรโกะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะปฏิเสธ
“คุโรโกจจิไม่ใส่แหวนที่ฉันให้เหรอ?”
คิเสะถามด้วยน้ำเสียงสดใส ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแป้นเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นที่ถูกใจมาไว้ในกำมือ
เจ้าของชื่อมองตอบด้วยสายตาเย็นชา แม้จะยอมให้โอบรอบเอวเข้างานเช่นคู่ควงทั่วไปก็ตาม
“ไม่จำเป็นนี่ครับ แค่ใส่ไว้ให้รู้ว่ามีมันก็พอแล้ว”
คุโรโกะกล่าว ในจังหวะที่ทั้งสองหมุนตัวอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ
แหวนหมั้นวงน้อยที่สอดคล้องเป็นจี้ของสร้อยเงิน ตัวเพชรที่เป็นส่วนยอดส่องแสงวิบวับ วงเรือนเป็นทองคำขางบริสุทธิ์ล้ำค่า
สมฐานะ ‘คู่หมั้น’ ของผู้อุปถัมภ์โรงละครที่กำลังโด่งดังมีชื่อ
ข่าวคราวของ ‘แฟนธ่อม’ เงียบหายไปกว่าครึ่งปี ท่ามกลางความยินดีของใครหลายคน ยกเว้นเสียแต่ตัว… คริสทีน หรือเด็กหนุ่มในคราบสาวน้อยที่กล่าวว่าตนเป็นลูกศิษย์ของคีตเทพผู้นั้นเอง
วันนี้เจ้าตัวอาศัยวิกผมยาวเป็นลอนสวยสีเดียวกับผมจริง ปะปนทิ้งปอยคลอเคลียลาดไหล่บาง ชุดกระโปรงตัวยาวเป็นสีชมพูโอลด์โรสรับกับสร้อยไข่มุกเส้นงามที่โดดเด่นบนลำคอเพรียวบางขาวนวล เรือนร่างมีอกเอวด้วยกรรมวิธีอันเป็นความลับของเหล่าช่างแต่งตัวแห่งคณะละคร
หากจุดสนใจของงานกลับแปรเปลี่ยนจากเด็กสาวในร่างเด็กหนุ่มไปเป็น…
ร่างสูงในชุดสากลสีแดงราวเพลิงผลาญตลอดชุด ชายเสื้อคลุมสีเดียวกับสะบัดไหวยามเจ้าตัวค่อยๆ ก้าวเดินลงมาจากขั้นบนสุดของของบันไดอย่างสง่างาม
การปรากฏตัวอย่างโดดเด่นไร้ความหวาดกลัวสะกดทุกสายตาให้จับจ้องมาเป็นทางเดียว
แต่เจ้าตัวทำเพียงยกยิ้มน้อยๆ เมื่อสานสบสายตาระแวงสงสัยปนงุนงงของเด็กหนุ่มในคราบสาวน้อย ที่ผละจากคู่เตนรำมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยตัวเอง
“ให้เกียรติเต้นรำกันสักเพลงได้มั้ย? คุณหนู”
คำเรียกขานล้อเลียนอย่างจงใจ แต่ร่างที่ค้อมต่ำ พร้อมยื่นมือเรียวยาวใต้ถุงมือสีดำสนิทมานั่นไม่อาจปฏิเสธ…
และคุโรโกะรู้ดีเกินกว่าจะหลอกตัวเองว่า…
ลึกๆ แล้วตนก็อยากพบคนตรงหน้าเช่นกัน
คำถามหลายสิ่งผุดพรายในสมองราวกับโน็ตดนตรีที่กระเด้งกระดอนจากแป้นเปียโน มากมายจนเขาไม่อาจเลือกจับมาถามไถ่
ได้แต่เลือกถ้อยคำที่ติดใจสงสัยในตอนนี้ออกมาเท่านั้น
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” …หายไปไหนมา?
คนอายุน้อยกว่าถามกลางฟลอร์เต้นรำ และอีกหนึ่งคำถามที่ไม่ได้ถูกเอ่ยออกมา แต่ฉายเด่นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทำเอาอดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดู ซึ่งแทนที่จะไขข้อข้องใจ อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มไม่ตอบคำถามนี้ เลี่ยงไปพูดถึงเรื่องอื่นหน้าตาเฉย
“ยังใส่สร้อยที่ผมให้เธอไว้อยู่สินะ”
อาคาชิสัพยอกด้วยรอยยิ้ม ขณะแตะมือบนเม็ดไข่มุกรูปหยดน้ำที่ทิ้งตัวคลอเคลียตรงฐานลำคอเพรียว
ย้อนไปก่อนที่คุโรโกะจะมีชื่อเสียงด้วยการขึ้นแสดงแทนที่ดาวเด่นของโรงละครอย่าง ‘ไฮซากิ โชโกะ’ เป็นช่วงที่เด็กหนุ่มปีนลงไปฝึกซ้อมกับ ‘แฟนธ่อม’ สองต่อสองในห้องใต้ดินแห่งนั้น
ย่ำรุ่งของวันหนึ่งนั่น ขณะที่เด็กหนุ่มจะหันหลังกลับขึ้นไป มือเรียวยาวของ ‘อาจารย์’ ก็ฉวยข้อแขนรั้งร่างเพรียวบางไว้
ฝ่ามือประสานกับมือของร่างในอ้อมแขนของเหมาะเจาะ ดวงตาคู่สวยต่างสีจ้องมองลงมาด้วยสายตาอ่อนโยน
“ผม.. มีอะไรจะให้เท็ตสึยะ”
ชั่วพริบตาที่เผลอต้องมนตร์สะกดของดวงตาคู่นั่นและน้ำเสียงทุ้มต่ำ ลุ่มลึกราวกับเสียงสวรรค์ สร้อยไข่มุกเส้นงามก็ประดับอวดโฉมบนลำคอเสียแล้ว
คุโรโกะไม่อาจวางเฉยเก็บซ่อนความตกใจ ทั้งสีสันและความเรียบเนียนของผิวมุกแต่ละเม็ดบ่งบอกถึงราคาที่สูงค่านัก
“ผมเก็บมันไว้ไม่ได้ครับ คุณอาคา…ชิ”
สัมผัสนุ่มอุ่นบนหน้าผากที่แตะต้องมาแผ่วเบา แต่ทรงอานุภาพราวกับไฟฟ้าที่แล่นพล่านไปในกระแสเลือด ผิดกันแค่มันไม่ได้แสดงความเจ็บปวด แต่สร้างความหวั่นไหวให้ผู้ได้รับเหลือเกิน
“แต่ผมอยากให้… และจะไม่รับคืนด้วย”
รอยยิ้มอ่อนโยนทาบทับบนใบหน้าที่ถูกหน้ากากบดบังไปครึ่งเสี้ยว
“อีกไม่นาน… เธอก็จะได้ใช้มัน”
ฝ่ามือสองข้างประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ให้แหงนเงยขึ้นสบสายตาโดยตรง ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยปอยผมสีอ่อนที่ระปรกลงเคลียผิวแก้มนวล
“นะครับ… เด็กดี”
แม้รู้ว่าเป็นเพียงคำล่อหลอกของผู้ใหญ่มากเล่ห์ แต่เขาก็ไม่อาจต้านทาน น้ำเสียงทุ้มเครือเจือรอยเว้าวอนที่ประชิดริมหูนี้ได้เลย
ได้แต่พยักหน้าตอบรับไปอย่างเลื่อนลอย
ชายกระโปรงสีชมพูอ่อนจางพลิ้วไหวเคียงคู่ไปกับร่างสูงสง่าในชุดสีแดงเพลิง วงดนตรีบรรเลงเพลงวอลซ์แว่วหวานราวกับทุกคนตกหล่มในภวังค์มนตร์สะกดของ ‘มัจจุราชสีแดง’ ที่มายืนเบื้องหน้า ละทิ้งคราบทึบทึมของ ‘มัจจุราชไร้เงา’ ผู้น่าสะพรึงกลัว
คิเสะต้องยอมผละจากมา ด้วยสายตาเยียบเย็น เด็กหนุ่มก้มมองมือที่ไม่กี่นาทีก่อนยังได้เกาะกุมมือเรียวบางของใครอีกคนไว้
รักที่ได้พบเจอ… รักที่รอมานานแสนนาน
กำลังจะหลุดลอยหายไปจากอก ด้วยเงื้อมมือของ ‘มัจจุราช’
“ฉันพอเดาได้ว่านายรู้สึกยังไง…. แต่ถอยออกมาให้ห่างกว่านี้จะฉลาดกว่านะ คิเสะ”
เสียงเรียกขานที่ไม่คุ้นหู คือ เจ้าของเสียงเทนเนอร์ ผู้เป็นดังคู่ขวัญของอดีตดาวเด่วแห่งโรงละคร
“คุณนิจิมุระ?”
คำพูดคล้ายล่วงรู้บางอย่างในตัว ‘แฟนธ่อม’ ดี จนอดไม่ได้ที่จะสงสัย จากชุดสูทธรรมดาที่สวมใส่และลมหายใจที่ยังหอบเล็กน้อย
คาดว่าเจ้าตัวคงรีบบึ่งมาที่นี่เพราะได้รับการตามตัวมา
หลังจากไปดูอาการมิบุจิ เรโอะ ที่ถูก ‘มัจจุราชในชุดสีแดง’ แขวนห้อยหัวลงมา เชือกเป็นปมหลวมๆ ที่ไม่ได้รัดแน่นหนา และตกลงมาที่เตียงซึ่งใช้แสงดประกอบฉากพอดี จึงไม่ได้เสียชีวิตในทันที แค่บาดเจ็บสาหัส
การร่วงหล่นจากที่สูงขนาดนั้น ย่อมไม่มีทางฟื้นตัวได้ในเร็ววัน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาใส่ใจ ความต้องการในตอนนี้พลุ่งพล่านในจิตใจของเขามีเพียงหนึ่งเดียว
“ผมสังเกตมานานแล้ว… ทั้งคุณ ทั้งมิโดริมะ หรือจะใครหลายคนในโรงละคร”
ดวงตาสีน้ำผึ้งทองสบตรงกับนัยน์ตาสีดำลึกล้ำของชายหนุ่มเบื้องหน้า
“พวกคุณรู้ ‘ตัวจริง’ ของ ‘มัจจุราชไร้เงา’ ใช่มั้ย?”
เสียงถอดถอนหายใจดังตามติดขึ้นมาแทบจะในทันทีที่ประโยคคำถามสิ้นสุดลง
“รู้มากไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ… คิเสะ”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ พลางวางมือบนไหล่คนอายุน้อยกว่า
“ฉันไม่ได้บอกให้ตัดใจ… แต่แค่เห็นสายตาของ ‘เด็กคนนั้น’ มองนายเทียบกับเจ้าผีบ้านั่นแล้ว”
“จะไม่พูดจาตอกย้ำหรอกนะ”
….ทุกอย่างมันชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว
“ผีร้ายกับคนครึ่งๆ กลางๆ ก็เข้ากันดีนี่”
เจ้าของคำพูดเชือดเฉือนที่มากับเสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ กล่าว รอยยิ้มเยาะหยันเหยียดบนริมฝีปากบางแวววาวสีชมพูเข้ม
ร่างสูงระหงในชุดกระโปรงปาดไหล่ เผยเนินอกอิ่มและลำคอเพรียวได้รูป เนื้อผ้าสีดำสนิทขับเน้นผิวกายขาวเผือดให้งดงามชวนมอง ราวกับหิมะแรกฤดูที่ปรายโปรยมาในค่ำคืน
“หรือไม่จริงล่ะ?”
ฝ่าเท้าบอบบางหยัดยืนด้วยรองเท้าส้นสูงหุ้มข้อสีเดียวกับชุดที่สวมใส่ บนเรือนผมสีเทาอ่อนนุ่มสลวยราวกับขนมิ้งค์ชั้นดีถูกดัดเป็นลอนสวยทิ้งปอยลงคลอเคลียด้านหน้า
เครื่องประดับสีเดียวบนกายคือสร้อยเพชรที่ห้อยระย้าลงมา ปลายสุดของจี้รูปหยดน้ำค้างหยุดที่ร่องแน่นขนัดของก้อนเนื้ออวบอิ่มพอดิบพอดี
“ยัยเด็กดื้อนั่น”
นิจิมุระขบฟันกรอด ใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดดูเครียดขึ้นและดุกร้าวขึ้นในบัดดล คิเสะมองอาการของคนข้างตัวด้วยสายตาแปลกประหลาด เหมือนมองคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
มือเรียวยาวปลดเนคไทที่รัดแน่นตึงถึงคอหอย รูดรั้งลงมาโดยแรง ก่อนสาวเท้าสวบๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าประชิดร่างของเด็กสาว แล้วดึงมาไว้ด้านหลัง เฉียดฉิวกับคมดาบของ ‘มัจจุราช’ ที่ใครต่อใครไม่ได้สังเกตวาดบนมาหมายลำคอขาวนั่นทันท่วงที
“โฮ่… มาเร็วดีนี่ครับ”
สักนิดก็ไม่ใช่คำชมเป็นถ้อยคำสัพยอกเสียมากกว่า
ตอนนี้คมของดาบสีเงินเล่มงามที่ถูกชักออกจากฝักในชั่วพริบตาเดียว ย้ายมาอยู่บนอกกว้างของชายหนุ่มผมดำ ผู้หาญกล้าเผชิญหน้ากับผีร้าย
“เห็นแก่คุณ… วันนี้ผมจะปล่อยปากไร้หูรูดของเด็กคนนั้นไปก่อนล่ะกันนะครับ”
บุรุษผู้ซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้เบื้องหลังหน้ากากเผยรอยยิ้มเยือกเย็น แน่ชัดและเอาจริงในทุกพยางค์ที่เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแน่นอน
แล้วหมุนกายกลับไปเบื้องหน้า ‘ลูกศิษย์คนสำคัญ’ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือหนาเย็นเฉียบจากถุงมือหนังสีดำเข้มทาบทับกับฐานลำคอ ปลายนิ้วสะกดเกี่ยวสร้อยเส้นบางที่คล้องแหวนหมั้นของคิเสะไว้
และเพียงแค่แตะต้องก็สามารถทำให้แหวนเพชรวงนั้นหลุดติดมือมาอย่างง่ายดาย
“เธอเป็นของผมคริสทีน…. ไม่สิ เท็ตสึยะ”
เสียงทุ้มต่ำฟังเยียบเย็นฟังดูน่าขนลุกอย่างประหลาด ความกลัวที่ผุดขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณผลักดันให้ร่างเพรียวในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนถอยห่างอีกฝ่ายทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว
แต่ช้าเกินกว่าจะหันหลังกลับ…
กลุ่มควันสีขาวไร้ที่มาคืบคลานเข้าสู่คนทั้งคู่ ก่อด้วยเป็นม่านหมอกหนาทึบจนไม่อาจมองเห็น
“อย่า!”
คิเสะออกวิ่งทันที โดยไม่สนคำห้ามปรามที่ดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าอ่อน ดวงตาสีเดียวกับสายน้ำในลำธารยามฤดูร้อนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
มือที่เป็นฝ่ายเอื้อมมาหาเป็นครั้งแรกของคุโรโกจจิ เขากลับคว้าไว้ไม่ทัน ได้สัมผัสเพียงปลายนิ้ว ก่อนความรู้สึกดูดสูบเหมือนกำลังร่วงหล่นจะเข้าครอบคลุมโสตประสาทรับรู้แทน
กระจกบานสูงเรียงรายในความมืด ส่องสะเทือนร่างของเขาเพียงลำพัง ไม่ว่าจะวิ่งตามเงาสีแดงของ ‘มัจจุราช’ สักเพียงใดก็ไม่อาจไล่ตาม
คว้าคืนคนสำคัญของตนกลับมาได้เลย!!
“คิดว่าชนะแล้วหรือไง!”
คิเสะแผดเสียงลั่น มือทุบทำลายพื้นอิฐที่ทรุดร่างลงอย่างไร้เรี่ยวแรง และคงได้อยู่ตรงนั้นไปอีกนาน ถ้าไม่เห็นมือที่ยืนมาหาของใครบางคน
“ลุกขึ้น… คิเสะ”
น้ำเสียงทุ้มลึกที่ฟังผิวเผินเย็นชาไม่ใส่ใจ เรียกสายตาฝห้แหงนสบ ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้เงาของเลนส์แว่นใส
ไม่ผิดแน่…
“คุณ…มิโดริมะ?”
แสงสว่างในอุโมงค์อันมืดมิดถูกจุดขึ้นโดยไม่ทันคาดคิด
“บอกผมมา… บอกผมมาที!” ร่างสูงผวาขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของชายหนุ่มผู้มาช่วยเหลือไว้มั่น
“ว่าแฟนธ่อม… ตัวจริงของเป็นใครกันแน่!?”
ฝ่ายผู้ใหญ่กว่าส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่สำคัญหรอก…. รู้ไปก็ไม่ช่วยอะไรดีขึ้น”
“การที่โชคชะตาพรากสิ่งใดไปจาก ก็คือว่าสิ่งนั่นไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแล้ว”
ปลายนิ้วเรียวยาวดันกรอบแว่นขึ้นสูง
“ไม่! อีกนิดเดียวฉันก็จะคว้าคุโรโกจจิได้แล้วแท้ๆ!!”
คิเสะสวนกลับโดยไม่หยุดคิด
อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น… คลาดกันเพียงเสี้ยววินาที
สิ่งที่คิดว่าจะคว้าจับได้ก็ลอยหายไป… ไปกับผีร้ายที่เขาไม่อาจยอมวางใจให้ไปได้
“ไม่ยอม” มือแกร่งบีบหัวไหล่อีกฝ่ายแน่นจนชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
“ถ้าจะจากกันทั้งแบบนี้… ฉันไม่ยอม!!”
ยึดติด… ไล่ตาม…
นายจะดึงดูดแต่คนประเภทนี้หรือไง? คุโรโกะ…
ทาคาโอะที่กว่าจะคลำทางมาได้ก็เสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนชั่วโมงมาทันประโยคประกาศกร้าวของคิเสะได้อย่างน่าประทับใจ
“ฉันว่านะชินจัง… เล่าๆ มาเถอะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน”
แผ่นหลังครูดไถไปกับผนังเปื้อนฝุ่น ลงหอบใจหายหนัก ใบหน้าแสนคุ้นเคย ที่ยามนี้ไม่อาจคุ้นชิน เพราะดูเหนื่อยล้า ไม่เหลือคราบทะโมนหรือเด็กช่างเย้าช่างหยอกของเขาเลยสักนิด
และมิโดริมะค่อนข้างเชื่อว่า ที่ขอให้เขาเล่าเรื่อง ‘แฟนธ่อม’ เป็นความสนใจส่วนตัวซะมาก ชนิดได้ว่ามากถึงแปดในสิบส่วน ส่วนอีกสองเสี้ยวที่เหลือก็ค่อนข้างแน่นอนว่ายืนยันข้อสันนิษฐานบางประการของตนเอง
“รู้เรื่องอุบัติเหตุของตระกูล ‘อาคาชิ’ เมื่อ 15 ปีก่อนมั้ย?”
มิโดริมะเกริ่น หลังจากพามาหาห้องหับที่เป็นส่วนตัวมนการคุยมากกว่าที่จะยืนขาแข็งหรือนั่งเหยียดแข้งแบบหมดแรงข้าวต้มที่ใต้ดินนั่น
คิเสะและทาคาโอะหันมามองหน้ากันหนึ่งจังหวะ แล้วส่ายหัว
แหงล่ะ…. ปีนี้เขาเพิ่งสิบแปด
ไอ้หนุ่มผมทองที่หวังเคลมเพื่อนเขาอย่างมากก็สิบเก้า ห่างกันไม่กี่มากน้อย บวกลบในใจก็ประมาณช่วงที่พวกเขายังเล็กอยู่ เตาะแตะเพิ่งหันเดิน ทาคาโอะยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังเป็นเด็กข้างถนนอยู่เลย
ตระกูลคนใหญ่คนโต… ไม่สิ อดีตราชนิกุล ที่เป็นดังสายใยหรือเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงสรษฐกิที่นี่ เปี่ยมอำนาจและร่ำรวยเงินตรา
จัดได้ว่ามีทั้งบารมีทั้งเงินมากที่สุดตระกูลหนึ่งเลยทีเดียว
มิโดริมะเองก็ไม่ได้หวังว่าเด็กพวกนี้จะจำอะไรได้อยู่แล้ว ตอนนั้นเขาเองก็เพิ่งสิบสามได้ไม่นาน ส่วนคุณนิจิมุระก็เพิ่งเทียบชั้นการศึกษาในระดับสูงได้
เสียงถอดถอนหายใจดังขึ้นในความเงียบ ใต้แสงเงาสลัวเจือจางของเทียนไข เรื่องราวที่ถูกเก็บซ่อนไว้กำลังจะถูกเปิดเผย
นานมาแล้วครั้งหนึ่ง
เขาเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดว่าที่ทายาทรุ่นต่อไปของตระกูล ‘อาคาชิ’ ซึ่งในเวลานั้นผู้นำของตระกูลคือ ‘อาคาชิ เซย์อิจิ’ ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เส้นผมส่วนใหญ่บนศีรษะเป็นสีดอกเลาสีอ่อนจนแทบหมดสิ้น
ข้างกายเขามีภริยา…
ที่ยังสาวและสวยเกินกว่าที่ควรจะเป็นในอายุต้นสามสิบ
ผิวขาวเนียนละเอียดราวกระเบื้องเคลือบชั้นดี รับกับใบหน้าเรียวเสลางดงาม มีริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อเป็นเครื่องประดับ เคียงคู่กับดวงตาสีฟ้าอ่อนใสราวหยดน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
หากสิ่งที่ทำให้เธอดูสะดุดตาใครต่อใครมากที่สุด คือ เส้นผมหยักสลวยสีแดงสดราวเส้นไหมที่ถักทอจากเปลวเพลิง
และราวกับรับรู้ถึงสายตาพิจารณา หญิงสาวในชุดราตรียาวกรอมเท้าก็หันมาแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน ผิดกับเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่จับมือของมารดาไว้มั่น และส่งสายตาไม่เป็นมิตรมา
ซึ่งสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตกใจมากที่สุดคือ ดวงตาวาวโรจน์คู่นั่น
สองข้างมีสีนัยน์ตาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ข้างหนึ่งแดงราวหยดเลือดในเปลวเพลิง
ข้างหนึ่งทองดังทองคำร้อนที่กำลังเดือดจัดหลอมละลาย
ในตอนนั่น มิโดริมะ ชินทาโร่ คิดเพียงว่าตนคงตาฝาดไปเองที่เห็นเช่นนั้น เพราะเพียงครู่เดียว ดวงตาแปลกประหลาดที่ได้สบมองก็เป็นสีแดงเข้มทั้งสองข้างเช่นที่เคยเป็นมา
งานเลี้ยงครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัว ‘ลูกชายคนเดียว’
ผู้มีสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดของ ‘อาคาชิ’
เด็กหนุ่มในวัยสิบสองปีผู้นั่น หากจะเรียกว่า ‘เก่ง’ คงเป็นคำชมที่ธรรมดาเกินไป
ต้องกล่าวว่า ‘สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ’ ถึงจะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมากกว่า
เขาไม่ได้รับการศึกษาเพียงศาสตร์ในการปกครอง ความรู้ความสามารถในฐานะนักปราชญ์นักคิดเท่านั้น แต่ในด้านงานอดิเรกสมาคมกับเหล่าชนชั้นสูงด้วยกัน
อย่างขี่ม้าหรือยิงธนู คนคนนั้นก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่สิ่งที่สะกดสายตาและตรึงทุกชีวิตในงานวันนั้นได้มากที่สุดคือน้ำเสียงของเจ้าตัว
เสียงทุ้มต่ำลุ่มลึกราวกับไม่ใช่เด็กชายวัยสิบต้น แต่เป็นชายหนุ่มรุ่นที่แตกเสียงหนุ่มพร้อมแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติด ราวกับเคาะพิมพ์มาจากรูปสลักเสลาในวิหารศักดิ์สิทธิ์คลอเคล้ากับน้ำเสียงไพเราะดั่งคีตเทพ ส่งผลให้เเขกเหรื่อในงานล้วนชื่นชมและหลงใหลในตัวเขาอย่างไม่อาจถ่ายถอน
ผู้คนมากมายกลุ้มรุมอย่างน่าตื่นตระหนก สำหรับเด็กทั่วไป
หากเจ้าตัวกลับรับมือเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างเยือกเย็น รื่นไหลดั่งอ่านผู้คนได้เหมือนมองลายเส้นในฝ่ามือตนเอง
มิโดริมะที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดหวั่น เทียบเคียงได้กับความรู้สึกชื่นชมและเลื่อมใสผุดขึ้นมาตีคู่
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น ‘บุตรชาย’ คนเดียวของตระกูลอาคาชิ
ต่อมา…
เขาก็ได้รับข่าวน่าสลดใจว่า ‘ครอบครัวอาคาชิ’ ประสบอุบัติทางน้ำระหว่างท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ ทุกคนในตระกูลตายเกือบทั้งหมด ผู้รอดชีวิตมีเพียงคนรับใช้ที่ติดตามไปไม่กี่คน
ส่วน ‘อาคาชิ เซย์จูโร่’ ในวัยสิบสามปีนั่น หายสาบสูญ
NEXT To บทที่ 6 จุดที่ไม่อาจหวนคืน.