[ILLUSTRATION ARTIST] 何何舞: ENO

d3wynightunr0lls

Another well known name that often pops up alongside Ibuki Satsuki, is 何何舞 He He Wu, or Eno. Quite a lot of her illustrations features boy love and so needless to say she is pretty popular amongst fans of BL. But that doesn’t mean that she only makes BL illustrations, and I’m sure that, like Ibuki Satsuki illustrations, you all must have seen her works scattered around too — particularly fans of Gu Man’s novels hehe — it is after all hard to not recognise such beautiful watercolour illustrations 🙂

View original post 109 more words

[DCMK Fic] Sick [HakuKai]

[DCMK Fic] Sick

Fandom : DCMK – Detective Conan / Magic Kaito

Pairing : Hakuba Saguru x Kuroba Kaito / ฮาคุบะ ซางูรุ x คุโรบะ ไคโตะ

Rate : R15

warning : nsfw , MASTURBATION

 

 

 

 

 

 

:: Sick ::

 

 

 

 

 

คุโรบะ ไคโตะเป็นจอมโจรคิด เป็นนักจารกรรมมือหนึ่ง เป็นนักมายากลใต้แสงจันทร์ และเป็นใครอีกหลายคนมากมาย แต่ไม่เคยเป็นคนแบบที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

… คนที่กำลังร้องไห้ …

ฮาคุบะเห็นริมฝีปากเม้มแน่น และมือที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้จนเขาต้องคว้ามากุมไว้เอง อดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าที่กำลังก้มลงซ่อนแววตาสั่นไหวคู่นั้น

นักสืบหนุ่มรู้ดีว่าตนไม่ได้สนิทกับคุโรบะ ไคโตะ อันที่จริงความสัมพันธ์ของเราสองคนถือได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังห้ามตัวเองให้รั้งร่างคนตรงหน้ามากอดไว้ไม่ได้

น้ำหนักของฝ่ามือมากพอจะตรึงร่างเขาให้ติดอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย คุโรบะขืนตัวเล็กน้อย ระมัดระวังไม่ให้กระเทือนถึงแผลตรงสีข้าง จำต้องรามือจากริมฝีปากของคนตรงหน้าเพื่อดันร่างตัวเองออกห่างจากสองแขนที่รัดรึงนี้ แต่แทนที่จะปล่อย เจ้าฮาคุบะกลับกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม แนบชิดเสียจนเขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ เป็นกลิ่นเบาบางเสียจนแทบไม่รู้สึก แต่กลับทำให้ใจสงบได้อย่างน่าประหลาด

 

“คุณหนู ยาได้แล้วค่ะ จะให้ดิฉันเข้าไปหรือวางไว้ตรงนี้คะ?”

เสียงเคาะประตู ตามด้วยถ้อยคำขออนุญาตดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

คุโรบะ ไคโตะสะดุ้งตัว และคงกระโจนหนีอายไปแล้ว ถ้าไม่ติดฝ่ามือข้างที่เลื่อนมาโอบเอวไว้ เจ้าของห้องจึงทำได้แค่นั่งตัวแข็งทื่อ บ่นพึมพำไปตามเรื่องตามราว

“นายต้องกินยา”

ลมหายใจอุ่นระรดเหนือศีรษะ ด้วยความใกล้ชิดในตอนนี้ เสียงพูดของฮาคุบะจึงไม่แตกต่างอะไรกับเสียงกระซิบข้างหู

ไคโตะรู้สึกหน้าร้อนแบบแปลกๆ กับความสุภาพนุ่มนวลของอีกฝ่าย ถึงปดติเจ้านี้จะทำตัวราวกับสุภาพบุรุษอังกฤษที่หลุดมาจากนิยายย้อนยุคก็เถอะ แต่ไม่ใช่กับเขานี่!!

“คุโรบะคุง?” ฮาคุบะ ซางูรุลองเรียกซ้ำ

ไม่! ยงยาอะไรไม่กินทั้งนั้น!!

ถ้าปลาเป็นของที่เขาไม่ชอบอันดับหนึ่ง ยาต้องไม่หลุดไปอยู่ที่สองแน่นอน!

“คุโรบะคุง… จะไม่กินยาเองจริงๆ?”

ไคโตะอยากลุกขึ้นบีบคอคนย้ำคิดย้ำทำขึ้นมาติดหมัด นายไม่ใช่พ่อฉันซะหน่อย ทำไมฉันต้องทำตามที่นายพูดด้วยล่ะ!

ดวงตาสีน้ำเงินแข็งกร้าวจ้องคนที่ก้มหน้าลงมา

“คุณป้าเปิดประตูเข้ามา แล้ววางยาไว้ตรงโต๊ะแถวนี้ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

ห๊า!?
จัดการ…. จัดการงั้นเหรอ เจ้านักสืบจากลอนดอนที่โดนเขาปั่นหัวทุกครั้งเนี้ยนะ!!

ตลกฝืดเกินไปแล้ว!!

ไคโตะที่ปรามาสฮาคุบะในใจ ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า การปฏิเสธไม่กินยาเองของเขา จะทำให้ตนเสียเปรียบได้มากขนาดนั้น

 

ฮาคุบะปล่อยมือจากเขาอย่างว่าง่าย แล้วลุกจากไป ไคโตะงุนงงเล็กน้อย ก่อนคว้าผ้าห่มคลุมโปงนอนต่ออย่างไม่ใส่ใจแทน กระนั้นเขาก็ยังได้ยินเสียงกุกกักและสวบสาบชวนสยอง

เจ้านั้นมันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ… ไม่มั้ง…. ยังไงเจ้านั้นก็เป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมาตลอด แถมใจเย็น โดนเขาปั่นหัวมาตั้งกี่ครั้งยังไม่เคยบันดาลโทสะคว้าปืนมาไล่ยิง แค่นี้คงไม่ถึงกับฆ่าเขาหมกห้องหรอก

ไคโตะรู้สึกได้ว่าเตียงยวบลง ใครอีกคนที่ยังไม่ออกไปจากห้องเขานั่งลงมาบนฟูก ห่างจากตัวเขาไม่ถึงศอก

“นายตัวร้อน… ถ้าไม่กินเอง ฉันจะป้อน”

ปงป้อนอะไรฟะ!

ประโยคหลังทำเอาเขาที่นอนขดตัวสั่น ขนลุกเกรียว จินตนาการบรรเจิดวาดภาพเจ้าฮาคุบะค่อยๆ ประคองเขาป้อนยาถึงปาก

“ฉันไม่ได้ป่วยขนาดนั้น! แค่อากาศร้อนนิดหน่อย มันก็เลยดูเหมือนไข้ขึ้น!”

ไคโตะรู้ตัวดีว่าเถียงข้างๆ คูๆ ลำพังตอนนี้เพียงแค่พูดไม่กี่ประโยค ลมหายใจที่ออกมาก็ร้อนผ่าว อุณหภูมิภายในโปงผ้าร้อนยังกับเตาอบก็ไม่ปาน

“งั้นฉันถือว่านายตกลง”

“ตกลงยังไงห๊ะ?”

เขาตวัดผ้าห่ม โผล่หน้าออกมาตะโกนลั่นอย่างหัวเสีย แต่ยังไม่ทันให้ตั้งตัว ผ้าห่มผืนหนาก็ถูกกระชากปลิวลอยหายไปอีกทาง รวดเร็วชนิดปลายนิ้วว่องไวของนักมายากลเช่นเขาคว้าปลายผ้ายังไม่ทัน

ฮาคุบะนั่งอยู่ข้างเตียง มองเขาด้วยสายตาอ่านยาก ไคโตะสะดุ้งโหยง พยายามกระถดตัวหนีอย่างสุดความสามารถ แต่พิษไข้พาให้ร่างกายเชื่องช้าลงกว่าเดิมหลายส่วน

“เฮ้ย!” ตอนที่ถูกคว้าข้อเท้าไว้ เขาถึงกับร้องลั่นด้วยความตกใจเลยทีเดียว ซ้ำยังล้มกลิ้งไม่เป็นท่า โดนกดลงกับฟูกนอนในท่าตะแคง สัมผัสเย็นเฉียบลูบผ่านขาอีกข้างของเขาให้เหยียดตรง ขณะเดียวกันก็ช้อนเท้าข้างที่ถูกกดไว้ครั้งแรกชันจนเขาชิดถึงหน้าท้อง

ไคโตะหน้าแดงเถือก ร่างกายท่อนล่างพาดไปบนตักเจ้าฮาคุบะในท่าน่าอายชวนให้แทรกแผ่นดินหนีที่สุด เขาพยายามยันตัวขึ้น ติดแต่ร่างสูงใหญ่กว่าแทรกเข้ามาตรงกลาง มือที่สวมถุงมืออนามัยดึงรั้งขอบกางเกงนอนเขา หยดหยาดของเหลวบางอย่างราดรดลงมาพร้อมปลายนิ้วเรียวยาวที่สอดเข้าในช่องทางด้านล่างเขา

“ไอ้บ้า! แถวบ้านนายนี่เรียกป้อนยาเรอะ!!”

ฮาคุบะยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ตั้งแต่รู้จักกันมาเลยทีเดียว

“ฉันบอกแล้วนี่ว่าถ้าไม่กินยาเองจะป้อน… ก่อนมาฉันหาข้อมูลยาสำหรับเด็กเล็กที่ดื้อไม่ยอมกินแบบปกติ เลยเจอยาแบบสอดเท่านั้นเอง”

ไคโตะนึกอยากคว้าไพ่ทั้งสำรับโยนใส่หน้าหล่อๆ ที่ยิ้มแย้มของเจ้าฮาคุบะ เพียงแค่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่อำนวย แถมปลายนิ้วของอีกฝ่ายยังสอดลึกเข้ามาเรื่อยๆ ด้วย ของเหลวเปียกลื่นทำให้มันสามารถบดเบียดเคล้นคลึงผนังเนื้ออ่อนนุ่มจนเขากระตุกสั่น สะโพกบิดเร่าในทุกจังหวะที่ปลายนิ้วนั้นสอดลึกเข้ามา แต่เจ้าของมือกลับไม่ยินยอมให้เขาถอยห่าง กลับยิ่งแทรกลึกเข้ามาในร่าง คราวนี้ไม่เพียงแค่นิ้วมือแต่เป็นแท่งยา หัวแหลมกลมมนเหมือนลูกกระสุนค่อยๆ สอดเข้ามาอย่างช้าๆ เพราะมีสารหล่อลื่นและปลายนิ้วเบิกทางมาก่อน ทำให้ยาเลื่อนไหลเข้าไปง่ายขึ้น

แท่งยาได้รับการดันเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ

ฝ่ามือจิกแน่นบนต้นแขนของคนที่โอบประคองอยู่ รู้สึกได้ถึงช่องทางด้านล่างของตัวเองกำลังบีบรัดและดูดกลืนเรียวนิ้วของอีกฝ่ายที่คืบคลานเข้ามา

“พะ…พอ ฉัน… ว่ามัน….”

ยาพาราเซตามอลแบบเหน็บ ในแต่ละแท่งมีตัวยาอยู่เพียงแท่งละ 125 มิลลิกรัม เทียบกับน้ำหนักตัวและอายุของเด็กหนุ่มมอปลายแล้ว ต้องใช้อย่างน้อยสี่แท่ง

แท่งแรกยังไม่ทันละลายดีด้วยซ้ำ แท่งที่สอง แท่งที่สาม และแท่งที่สี่ก็ตามมา บางส่วนที่ยังคงรูปกดเน้นจุดที่สร้างความรู้สึกวาบหวามภายใน พาให้ความเสียวซ่านแล่นระริกไปตามร่างเขา

ไคโตะสั่นไปทั้งตัว และหอบหายใจอย่างทรมานยิ่งกว่าตอนไข้ขึ้นเสียอีก สัมผัสที่สอดลึกและโจนจ้วงเข้ามาถี่กระชั้นและต่อเนื่องมากเกินไป ไม่ว่าจะปลายนิ้วหรือแท่งยา ผสมปนเปจนแยกไม่ออก ความรู้สึกดีที่ไล่ตามผิวเนื้อเดือดพล่านด้วยความรู้สึกร้อนเร่าของกระตุ้นเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในตอนที่ฮาคุบะถอนปลายนิ้วออกไป เขาถึงกลับปลดปล่อยออกมา ของเหลวอุ่นร้อนอาบไล้เปื้อนช่วงแขนคนที่ประคองเขาไว้ แถมบางส่วนยังค่อยๆ ไหลเยิ้มเปรอะผ้าปูที่เตียง

ไคโตะก้มหน้า นึกอยากใช้ทริคหายตัวหรือเทเลพอร์ตได้ขึ้นมาครามครัน ติดเพียงฝ่ามืออีกฝ่ายแนบบนแผ่นหลังเขา ความต้องการตื่นตัวเต็มที่ของคนตรงหน้าเสียดสีสะโพกเขา ข้างหูเป็นเสียงครางต่ำหอบพร่าในลำคอ คล้ายกับกำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่ตื่นเตลิดของตัวเอง ที่เขาเพียงเหลือบมองลงต่ำก็พาให้อยากวิ่งหนีจากอ้อมแขนที่รัดรอบเอวนี้แล้ว

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“ขนาดไม่ตั้งใจฉันยังรู้สึกเหมือนเสียตัวไปแล้วเลยเถอะ!!”

“ขอโทษ…”

เสียงกระซิบแผ่วจาง พร้อมกับริมฝีปากอุ่นที่แตะลงข้างขมับอย่างอ่อนโยนนุ่มนวลพาให้ใจอ่อน ยังไงเจ้านี้ก็หวังดี… ถึงจะทำเกินไปหน่อยก็เถอะ

“ถ้าแค่… ต้นขา…. ก็พอไหว….”

คำพูดนี้เอ่ยออกไปแล้ว เรียกกลับคืนไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไคโตะถึงนึกอยากกัดลิ้นเจ้าปัญหาที่ไวกว่าสมองให้ขาดไปให้รู้แล้วรู้รอด

เมื่อได้ยินคำอนุญาต ร่างสูงขยับกายเปลี่ยนท่าทางให้ต้นขาเขาหนีบความต้องการตัวเองไว้ตรงกลาง ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าออกอย่างช้าๆ

แผ่นอกอีกฝ่ายเสียดสีกับแผ่นหลังเขา ลมหายใจหอบสั่นระรินข้างลำคอ ไม่นานนักมวลอารมณ์เครียดขึ้งก็ม้วนทะลักออกมาเต็มซอกขาด้านในและร่องสะโพกเขา

ไคโตะคว้านหาเสียงตัวเองไม่เจอขึ้นมากะทันหัน หากตัวยาที่ออกฤทธิ์อย่างเต็มที่แล้วพาให้เปลือกหนักอึ้ง สำนึกสุดท้ายก่อนหลับไปคือกลุ่มผมสีทองสว่างที่ปลายหางตา

 

[end]

 

Talk Zone : เป็นพวกยั้งมือไม่ค่อยอยู่เวลาเครียดๆ ค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ภาคต่อของฟิค >Fallen< ต่อเนื่องจากการแก้บนทวิตขาย >เรือฮาคุไค< ค่ะ

สารภาพก่อนว่าจำบทคิดกับฮาคุบะที่โผล่ในโคนันไม่ได้แล้ว แต่เมากาวจากอนิเม Magic Kaito 1412 กับจอมโจรอัจฉริยะล้วนๆ ค่ะ 55555555555

เรื่องแรกก็ทำตัวแบบนี้แล้ว…. ว่าเมนเคะแล้วค่อนข้างหนักมือในการให้ความเอ็นดูค่ะ XD

ปล.นี่เป็นดรอปเฉพาะกิจ เจอกันอีกทีหลังผ่านเดดไลน์งานฉวนจื๋อนะคะ >///<

 

 

 

 

 

[QZGS Fic] Out of the Blue. [หวงอวี้]

[QZGS Fic] Out of the Blue.

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory

Pairing : หวงเส้าเทียนxอวี้เหวินโจว

Genre : AU, ABO-Omegaverse

Rate : R18

Note : ตอนก่อนหน้าของ -1- [Come rain or shine.]  -2- [Come in out of the Rain.]

มีตอนพิเศษเหตุการณ์หลังจบแล้ว 2 ตอนค่ะ [little lion] [Papa! Papa!!]

Timeline : ช่วงปลายลีคสาม พี่อวี้กับเส้าเทียน 18 ทั้งสองคนกำลังเตรียมตัวเดบิ้วต์ในลีคสี่ค่ะ

 

 

 

 

 

:: Out of the Blue. ::

 

 

 

 

 

อดีตเพศรองมีส่วนการกำหนดบทบาททางสังคมเป็นอย่างมาก ถือเป็นระเบียบแบบแผนและข้อกำหนดทางชนชั้น เพื่อคงสถานะภาพทางสัมคมให้มีความสมดุล และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกฎในการเลือกคู่ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าเพื่อสืบทอดสายเลือดที่ดีกว่าและดียิ่งขึ้นไป

ปัจจุบันเรื่องเล่านี้แทบจะจางหายไปในสังคม จนแทบไม่มีใครคอยมาวิเคราะห์แยกแยะว่าคนไหนเป็นอัลฟ่า โอเมก้าหรือเบต้า เนื่องด้วยประชากรที่ผสมผสานกลมกลืนสายเลือดไปแทบไม่หลงเหลือ แต่ถึงกระนั้นในชนชั้นผู้นำหรือแถวหน้าก็ยังคงเป็นที่ของอัลฟ่าอยู่ดี เช่นเดียวกับที่ยืนที่เคียงข้างนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของโอเมก้า

หากในมุมมองของเขา สังคมพวกเรานี้ก็ไม่ได้ต่างจากสัตว์ป่าเลยแม้แต่น้อย

อัลฟ่า เป็นผู้นำ ผู้ล่าตามสัญชาตญาณ

โอเมก้า เป็นผู้ได้รับการปกป้องดูแลและสืบทอดสายเลือด ถึงกระนั้นก็มีไม่น้อยที่โอเมก้ากลับแสดงพลังอำนาจออกมาจนข่มอัลฟ่าได้เพื่อปกป้องบุตรของตนเอง ในยามที่ถูกอัลฟ่าอื่นคุกคาม

เบต้ามีหน้าที่เป็นผู้ดูแล

หากตัวเขาเองที่เป็นเบต้ากลับคิดว่า ในเมื่อสัญชาตญาณของอัลฟ่าคือผู้ล่า โอเมก้าคือผู้ปกป้อง

เบต้านั่นก็คือการเอาชีวิตรอดนั่นเอง

แน่นอนว่าในปัจจุบัน ทั้งอาชีพหน้าที่การงานและบริบททางสังคม สามารถพบเห็นได้ทั้งอัลฟ่า โอเมก้าและเบต้า แต่อย่างไรเสียเบต้าที่มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดตามที่เขาคิดนั่น ก็เลือกที่จะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เสียมากกว่าจะอยู่ในจุดสนใจอย่างการแข่งขันแย่งชิงอำนาจทางสังคม

อวี้เหวินโจวครุ่นคิดมาโดยตลอด ว่าจุดเปลี่ยนของเขาคงเป็นการเริ่มให้ความสนใจเกมกลอรี่ เสียจนก้าวเข้ามาในวัฎจักรแห่งการแข่งขันที่รายล้อมไปด้วยเหล่าอัลฟ่าและโอเมก้าที่มีพลังอำนาจมากกว่า
และสิ่งที่ยืนยันสมมุติฐานของเขาคือการที่สี่เจ้ากลยุทธทุกคนล้วนเป็นเบต้า แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยเลยทีเดียวที่เอ่ยคำปรามาสว่า หากเป็นโลกความเป็นจริง หาได้ใช่โลกเสมือนที่สู้กันด้วยคีย์บอร์ดแล้ว เบต้าเช่นเขา คงไม่มีสิทธิ์มายืนในระดับนี้ได้

เขาไม่ได้เอ่ยอะไร
ด้วยรู้ดีว่าค่าตอบแทนของการสบประมาทครั้งนี้นั่น คนพูดคงลืมไม่ลงชั่วชีวิตเป็นแน่

และอันที่จริง… ต่อให้เขาปรารถนาจะตอบโต้ด้วยตัวเอง ก็ไม่เร็วได้ถึงครึ่งหนึ่งของอริยดาบแห่งหลานอวี่ เพื่อนร่วมทีมที่สาดถ้อยคำขยะตอบโต้อีกฝ่ายเสียจนหน้าจอจมหายไปเลยทีเดียว

หวงเส้าเทียนเป็นคนจิตใจดี

อวี้เหวินโจวยิ้มบาง นั่นเป็นสิ่งที่เขารับรู้มาตลอด ภายใต้วาจานั่นไม่น่าฟัง ปากคอเราะร้าย ไม่มีหูรูด เจ้าตัวเป็นคนจริงใจและรักเพื่อนฝูงมากทีเดียว

“เส้าเทียน”

ชายหนุ่มเอ่ย ฟังคล้ายกับการห้ามปรามและการเรียกหาไปพร้อมๆ กันและในส่วนที่ดีที่สุดนั่น หวงเส้าเทียนยังรักษาน้ำใจของเขาในบางเรื่องอย่างน่าประหลาดใจ

ในทางสังคม เรื่องกฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติของการจับคู่อัลฟ่าและโอเมก้าจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้ว แต่ในหมู่ชนชั้นสูงที่หวังให้มีทายาทเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและสมรรถภาพทางร่างกาย รวมไปถึงสัญชาตญาณที่ดี ก็มีข้อกำหนดหลายอย่างที่พึงกระทำ

หวงเส้าเทียนปฏิเสธการจับคู่กับโอเมก้าที่มีคนเลือกให้

ตอนที่ได้รับรู้เรื่องนี้ เขายอมรับว่าตนเองประหลาดใจ มากเสียกว่าจะตื่นตกใจเช่นคนอื่นเสียอีก

ไม่มีพันธะตีตราจอง ไม่มีการกัด
ระหว่างกันเป็นเพียงการปลดปล่อยความใคร่ทางกายเท่านั้นเอง

จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนมากกว่ากัปตันและไพ่ราชา แต่ตัวเขาเองที่พึงระลึกเสมอว่า ‘ตนเองเป็นเพียงเบต้า’ ที่ก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั่นไม่ได้ใช้สัญชาตญาณหรือความสามารถที่ติดตัวมา แต่เป็นมันสมองของตนเองทั้งหมด

ในเรื่องคู่ครองนั่น อวี้เหวินโจวเองยังหวังด้วยซ้ำ ว่าอยากให้เส้าเทียนได้เจอกับโอเมก้าที่เป็นคู่ลิขิตของตัวเอง มากกว่าจะผูกพันธะกับเขา

อวี้เหวินโจวเป็นเบต้า และเป็นผู้ชาย การมีสัมพันธ์ทางกายไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรขนาดนั้น

เขาไม่ได้ต้องการให้เส้าเทียนรับผิดชอบตัวเองเพราะความจำเป็น เพียงเพราะทำเรื่องแบบนั้นกับเขาไป

… ตอนนั้นเป็นเพียงเหตุสุดวิสัยก็เท่านั้นเอง …

 

หวงเส้าเทียนเริ่มรู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ลำคอแห้งผากราวกับกลืนกินเม็ดทรายเข้าไป ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ ปาก คอ มือ สั่นไปหมด ดีการคัดเลือกตัวจริงจบไปแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร แต่อาการที่เหมือนหน้ามืดตาลายนี่มันอะไรกัน?

เขาป่วย… งั้นเหรอ? ไม่สิ ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยสักนิด มีแต่ความต้องการ ความกระหาย

เขาโหยหิว เขาว่างเปล่า ต้องการกัดกินหรือเติมเต็มด้วยบางสิ่งบางอย่าง ปลายนิ้วแลบเลียริมฝีปากตัวเอง แตกระะแหง แห้งจนเป็นขุ่ยแสบลอก

พลั่ก!
ที่ทับกระดาษอันหนึ่งตกลงใส่พื้นพรม เสียงมันไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา ทุ้มต่ำ ส่งเสียงสะท้อนมาเหมือนคลื่นความถี่ ประสาทสัมผัสรับรู้ไหวกว่าปกติ ละเอียดอ่อนและชัดเจนจนมากเกินไป เขาเริ่มกัดนิ้วตัวเอง สัมผัสยามที่ได้รสเลือด ได้แตะต้องผิวเนื้อของร่างกายลดความกระหายลงได้เล็กน้อย

ไม่พอ! ไม่พอ! ไม่พอ!! ในสมองร่ำร้อง

ไม่ใช่! ยังไม่ใช่!! มากกว่านี้!! ฉันต้องการมากกว่านี้!!
ไม่ใช่เลือดเนื้อ!! ไม่ใช่แค่ผิวหนัง!!

แต่เป็น…

“เส้าเทียน…”

ร่างกายของมนุษย์ ผิวกาย อุณหภูมิที่แตกต่างกับตนเอง

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สบกับดวงตาใสกระจ่าง… สีอ่อนจางราวกับสายน้ำดึงสติเขาให้กลับมาได้เล็กน้อย…

“อวี้… เหวิน…โจว” เจ้าของชื่อถอนหายใจ ดีว่าอีกฝ่ายยังพอสติที่จำเขาได้ คงเพราะตนเป็นเพียงเบต้า ไม่ใช่โอเมก้า หาไม่แล้วอัลฟ่าที่เพิ่ง-รัท-ครั้งแรก และดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า คงถูกสัญชาตญาณครอบงำ จนพุ่งมากัดเขาไปแล้ว

อวี้เหวินโจวย่อตัวลงคุกเข่า ประคองร่างที่สั่นสะท้านไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ที่สุด และหยิบยาที่เตรียมไว้ออกมา ถึงแม้เขาจะไม่รับรู้ถึงฟีโรโมนจึงแยกแยะไม่ได้ว่าคนไหนเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า แต่ลักษณะจำเพาะบางประการทำให้คาดเดาได้อย่างมั่นใจ 9 ใน 10 ส่วนจากการวิเคราะห์ของเขา

หวงเส้าเทียนเป็นอัลฟ่า แถมเป็นอัลฟ่าที่เพศรองไม่ได้ปรากฏมาตั้งแต่ถือกำเนิด แต่มาเริ่มเอาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแทน

สิ่งที่ทำให้เขาแน่ใจคือสมรรถภาพทางร่างกาย ความเร็วมือ และสัญชาตญาณ การตัดสินใจ ล้วนแล้วแต่มีความเด็ดขาดรวดเร็ว อันเป็นคุณลักษณัของผู้นำที่มีหน้าที่ปกป้องลูกฝูง

“เส้าเทียน…” เขายังคงได้ยินเสียงขบฟันกรอดๆ มืออีกฝ่ายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้จนเขาต้องคว้ามากุมไว้เอง

ยาที่เตรียมมาอยู่อีกมือหนึ่ง เขาจับเส้าเทียนอ้าปากและกรอกยาไม่ได้ ถ้าใช้มือแค่ข้างเดียว และเวลาให้ตัดสินใจก็มีไม่มากนัก เขาจึงเลือกที่จะหยิบเม็ดยาใส่ปาก กดไหล่อีกคนให้ติดกับเก้าอี้และป้อนแบบปากต่อปากแทน ไม่มีน้ำคอยส่งยาเข้าไป มีแต่น้ำลายกับปลายลิ้นที่พัวพันกันจนแยกไม่ออก หัวเข่าที่ใช้ยันตัวชนเข้ากับส่วนข้างล่างที่เริ่มแสดงปฏิกิริยา

เขาปลีกตัวมาช้าเกิน มัวแต่กังวลทั้งเรื่องยา เรื่องคนอื่น ตนไม่ได้สนิทกับหวงเส้าเทียนมากพอที่จะถามไถ่คนอื่นไม่ให้ผิดสังเกต กว่าจะรู้สึกตัวว่าเส้าเทียนหลบฉากมาก็ครู่ใหญ่ๆ แล้ว ถึงระยะหลังๆ จะมีการฝึกซ้อมพิเศษระหว่างเขากับว่าที่ไพ่ราชาก็เถอะ เขาก็ยังไม่คิดว่าตัวเองสนิทสนมกับหวงเส้าเทียนมากเป็นพิเศษอยู่ดี

แต่นั่นเป็นเรื่องที่อวี้เหวินโจวคิดเอาเองเท่านั้น ในสายตาของคนอื่น ว่าที่ไพ่ราชาแห่งหลานอวี่แทบจะเอาตาตัวเองแปะไว้ที่อดีตเด็กชายขอบผู้นี้ตลอดเวลา

 

หวงเส้าเทียนรู้สึกราวกับว่าสติเหมือนขาดหายไป

ชั่วขณะหนึ่งเขาจำได้แค่ความรู้สึกทรมาน เหมือนร่างกายจะมอดไหม้ ราวกับมีไฟสุมอยู่ภายในที่ลุกลามไปทั่ว

…จนกระทั่ง ……

“เส้าเทียน…”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มและอ่อนโยนแบบที่ได้ยินเสมอ กระแสเสียงคุ้นเคยนี้ เป็นเสียงของเด็กหนุ่มอายุไม่ห่างจากเขามาก

เขาใจเย็นลง รู้สึกสงบขึ้น แต่ร่างกายยังคงตามไม่ทันสมอง ฟันกรามขบกรอดกระทบกันอย่างน่ากลัว และมือยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

เขาอยากสัมผัส… อยากแตะต้อง… แต่เส้นเสียงมากมายที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกำลังตีค้านสัญชาตญาณ ปลายนิ้วเย็นเฉียบกอบกุม ประสานกับฝ่ามือที่สั่นระริกของเขา อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองใบหน้าที่กำลังโน้มลงมา ในแววตาสีอ่อนนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิดและห่วงกังวล และไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ใบหน้านั้นก็ก้มลงมาชิดกว่าเดิม

ลมหายใจอุ่นระรดบนผิวหน้าที่ร้อนผะผ่าวอยู่แล้วของเขา น้ำหนักของฝ่ามือที่กดลงบนลาดไหล่มากพอที่จะตรึงร่างเขาให้ติดอยู่กับพนักเก้าอี้ แรกเริ่มที่ริมฝีปากนั้นทาบทับลงมา เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นกลิ่นเบาบางที่แผ่วจางเสียจนแทบจะไม่รู้สึก

มือที่เคยสั่นจนควบคุมไม่ได้ประคองใบหน้าของคนที่เป็นฝ่ายแนบจูบลงมา

เสียง ลมหายใจ และหยดน้ำเหลวที่แลกเปลี่ยน ปะปนกันจนไม่รู้ว่าเป็นของใคร แต่สำหรับเขา มันสร้างความชุ่มชื้้นให้กลับคืน ลำคอที่เคยแห้งผากเป็นผุยผงกลับรู้สึกอิ่มเอม ยิ่งพาให้ดูดกลืนปลายลิ้นที่ถูกส่งเข้ามามากยิ่งขึ้น เม็ดยาร่วงหล่นลงไป แต่เสียเกินกว่าจะฤทธิ์ยาจะทำงาน

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าอาการแปลกๆ ที่ผ่านมาของตนเองคืออะไร…

… มันคือการ -รัท- ของอัลฟ่านี่เอง
 

“เดี๋ยว… เส้าเที–“

ชื่อของอีกฝ่ายยังกล่าวได้ไม่จบคำ จูบที่สองก็ตามมาทันที เสียงที่จะเอ่ยจึงถูกกลืนหายไปโดยสิ้นเชิง พร้อมกับปลายลิ้นร้อนแทรกผ่านเข้าไป รุกล้ำเข้าในโพรงปากอย่างหิวกระกาย คล้ายกับจะกลืนกินกันลงไป

อวี้เหวินโจวพยายามกระชับมือที่ตัวเองกุมไว้ของอีกฝ่ายคืน แต่เป็นฝ่ายโดนรั้งเข้าไปชิดกว่าเดิม ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อริมฝีปากของคนตรงหน้ากำลังไล่เล็มตรงลาดไหล่ของตัวเอง เขาสูงกว่าหวงเส้าเทียนเพียงเล็กน้อย ยามที่ถูกรั้งขึ้นมาแนบชิดถึงเพียงนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งคร่อมอีกฝ่ายอยู่

ฟันขาวขบลงบนลำคอแผ่วเบา แต่เขี้ยวคมสองข้างในปากอีกคนก็กดลงมาให้เขาได้เลือดซิบอยู่ดี ความเจ็บปวดแสบร้อน ทำให้ผิวกายบริเวณนั้นยิ่งไวสัมผัส ยิ่งยามที่ริมฝีปากนั้นค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปตามแนวลำคอ และกดเน้นหนักบนหัวไหล่

ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบของอวี้เหวินโจว กล้ามเนื้อหัวใจที่เคยเต้นอย่างสม่ำเสมอกลับถี่รัวจนเหมือนจะทะลุออกมา และถึงกับแทบหยุดไปชั่วพริบตา เมื่อฟันคมนั่นขบเบาๆ ตรงจุดชีพจร

มืออีกข้างที่ว่าดันไหล่ของอีกฝ่ายจนแผ่นหลังแนบไปกับเก้าอี้ ส่งผลให้ศีรษะของเส้าเทียนที่วนเวียนอยู่ตรงแอ่งชีพจรถอยออกมาได้สำเร็จ แต่สถานการณ์สำหรับเขาไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด เมื่อริมฝีปากนั้นย้ายลงมาแตะลงบนแผ่นเขาผ่านเสื้อผ้า

อวี้เหวินโจวกระตุกสั่นพยายามดึงร่างตัวเองออกห่างจนเกิดเสียงเอี๊ยดอาดของเก้าอี้ที่ต้องรับน้ำหนักผู้ชายตัวไม่เล็กสองคน ไม่รู้ทำไม เขานึกถึงเสียงของเส้าเทียน… คิดถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่มักพูดถ้อยคำไร้สาระไม่หยุด

“เหวิน…โจว…”

เจ้าของชื่อก้มลงมองอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้านิ่ง ซุกตรงอกเขา กากรเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนถึงเมื่อครู่หยุดชะงักลง หวงเส้าเทียนทำเพียงกอดเอวเขาไว้แน่น พึมพำอะไรที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์

“ฉัน… ขออยู่แบบนี้สักพัก”

ยาคงออกฤทธิ์แล้ว… เขาคิด แต่เสียงขบฟันกรอดๆ ก็ยังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้าอยู่ดี ลมหายใจหอบสั่นอย่างน่าเป็นห่วง จนเขาต้องเป็นฉุดร่างอีกฝ่ายที่กอดตัวเองไว้แน่น และย้ายเจ้าของห้องไปที่เตียงให้เป็นกิจจะลักษณะ ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นได้จังหวะดี แรงมหาศาลก็โถมทับเข้ามา รู้สึกตัวอีกครั้ง ยามที่แผ่นหลังตัวเองทาบทับไปกับฟูกที่นอน และโดนกดตรึงไว้จากคนที่อยู่ด้านบน ระบบความคิดเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ ไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

ยามที่กำลังสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วเรียวยาวติดจะสากเล็กน้อยนั้น ล้วงล้ำเข้าสู่ใต้เสื้อของตนเอง ฝ่ามือที่สอดแทรกเข้ามาหยอกเย้ากับยอดอกจนมันเริ่มแข็งตึง อวี้เหวินโจวส่งเสียงตะกุกตะกักคล้ายกำลังคนกำลังจะสำลักน้ำ เนื่องจากพยายามกลั้นเสียงร้องของตัวเองไว้

เขารู้สึกประหลาด… และไม่คุ้นชินกับเส้าเทียนที่ไม่พูดอะไรเลยแบบนี้ จนเกิดความรู้สึกหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับคนคนนี้มาก่อนเลย

‘ความกลัว’
 

***********************************************

 

 

Talk Zone :  เขียนย้อนไปย้อนมาตามใจชอบมากค่ะ  อันนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่คู่นี้จะตกลงคบกันจริงจังใน [Come rain or shine.] ค่ะ

[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่][ตอนสี่]

[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่]

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory

Pairing : NoPairing

Genre : AU, เทพเซียนโบราณ

Rate : PG

Note : รวมฟิคเมากาวจากในทวิตซีรีส์ยมโลกของบ้านฟ้า  ค่ะ

[ตอนหนึ่ง] [ตอนสอง] [ตอนสาม]

 

 

 

 

 

 

:: งูปาเสอ ::

 

 

 

 

 

天青色等烟雨而我在等你
สีครามรอไอฝน ส่วนข้ารอเพียงเจ้า*

หยาดโลหิตสีแดงฉานไหลรินตามแนวโครงของชุดเกราะสีเงิน สะท้อนเป็นประกายเงางามยามต้องแสงตะวันที่สาดส่องผ่านพ้นชั้นม่านหมอกซึ่งกำลังคลี่คลายอย่างช้าๆ คราบเลือดเก่าใหม่ผสมผสานเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำแห้งเกรอะกรัง มวลอากาศคละคคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็น เสียดแทงลึกถึงกระดูก

รอบข้างกึกก้องไปด้วยเสียงโห่ร้องอื้ออึงดังระงม เสียงของความยินดีและสรรเสริญในชัยขนะของเผ่าสวรรค์

ทว่าอวี้เหวินโจวกลับไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น ริมฝีปางบางสั่นระริกถูกขบกัด สองมือเปื้อนไปด้วยเลือด กระทั้งในโพรงปากยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวหอมหวานของโลหิต

เขาจำได้เพียงเสี้ยววินาทีที่ความเจ็บปวดพุ่งตรงเข้าสลายแก่นวิญญาณ ตั้งแต่หน้าผากลามเลียไปจนถึงปลายเท้า พลันสิ้นไร้เรี่ยวแรง พลังงานที่คอยขับเคลื่อนถูกตัดขาด รวมทั้งพลังฝึกปรือเกือบเจ็ดหมื่นปีของเขาค่อยๆ เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ดวงวิญญาณค่อยๆ ดำดึง ตกลงสู่ความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง ลมหายใจรวยรินเปราะบางดุจเปลวเทียนวูบไหวในสายลม

ความทรงจำแรกที่ระลึกได้คือสีแดงฉาน
คนผู้หนึ่งบาดเจ็บ… เลือดไหลซึมกระจ่างชัดยิ่งบนเกราะอ่อนสีเงินเจิดจ้า

ข้า.. ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกครั้งบนเลือดเนื้อของ …

ร่างในชุดเกราะสีเงินทิ้งน้ำหนักตัวลงเบื้องหน้าเขา ปลายนิ้วอบอุ่นค่อยๆ เย็นชืดลงทีละน้อย ใบหน้าที่มักยิ้มแย้มสดใสครานี้กลับเป็นรอยยิ้มปลอดโปร่งโล่งใจ ประหนึ่งหมดห่วงอาลัยในทุกสิ่ง

“อย่าร้องไห้ … ไม่สมเป็นเจ้าเลย”

ในถ้อยคำหยอกเย้ายังคงมีความห่วงใย อวี้เหวินโจวไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หยาดหยดจากดวงตาตนเป็นน้ำตาเช่นที่คนตรงหน้าพูดหรือไม่ เขาเพียงรั้งร่างที่ทรุดลงมากอดไว้ ขณะที่ศีรษะคนผู้นั้นซวนซบลงไหล่เขา กลุ่มผมสีทองราวแสงอาทิตย์หมองหม่นคล้ายสูญเสียประกายไปพร้อมกับลมหายใจของผู้เป็นเจ้าของที่ใกล้มอดดับ

ทว่าเลือดอุ่นๆ จากอกคนตรงหน้ายังคงไหลไม่หยุด ไหลซึมออกมานอกเกราะจนเปรอะเปื้อนมือเขาที่พยายามกดห้ามไม่ให้มันหลั่งริน

“ข้าอยู่ เจ้าอยู่ …
เจ้ายังไม่ตาย ข้าจะตายได้อย่างไร”

… เหวินโจว

เผ่างูปาเสอ ทุกตัวเมื่อบำเพ็ญเพียรจนสามารถจำแลงกายได้นั้น ล้วนมีรูปลักษณ์งดงามเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง แม้เป็นบุรุษก็ยังคงความยวนเย้าหมดจด

อวี้เหวินโจวนับแต่บำเพ็ญเพียรจนสามารถจำแลงร่างได้ ตัดสินใจออกเดินทางฝึกฝนตัวเองเพื่อเลื่อนขั้นไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดทิศ อาศัยรูปโฉมและพลังฝีมือไม่มากไม่น้อยนี้ ขึ้นเหนือล่องใต้ กราบเรียนกับเหล่าเทพเซียนผู้เร้นกายจากโลกหล้า เมื่ออายุได้สี่หมื่นปี เผชิญอสนีบาตสวรรค์ที่เทพเซียนต้องผจญเสียที ซึ่งสายฟ้านี้หาได้มีอานุภาพธรรมดาทั่วไป สายฟ้าแต่ละเส้นแต่ละสายที่กรีดฟาดลงมานั้น พุ่งผลาญทำลายขุนเขาในพริบตา

ผ่านได้… สำเร็จเลื่อนขึ้นเป็นซ่างเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ผ่านไม่ได้ก็สิ้นสลายเป็นเถ้าธุลีจบชีวิตลง

นานเท่าใดไม่อาจทราบ จวบจนเสียงฟ้าร้องครืนครั่นเงียบหาย ร่างทั้งร่างชุ่มโชกด้วยเลือด ราวกับอ่างโลหิตก็ไม่ปาน เขาฝืนกายเดินโซซัดโซเซไปตามป่าเขา

เพียงผ่านด่านเลื่อนขั้นเป็นซ่างเซียนก็บาดเจ็บอ่อนแอลงเช่นนี้ พาลให้รู้สึกถอดถอนต่อความอ่อนด้อยในพลังฝีมือตนไม่ได้

ซ้ำอย่างไรร่างเดิมของตนนั้นก็คืองูปาเสอตัวหนึ่งอยู่ดี เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสแทบสิ้นสติ จึงเผยร่างออกมาอย่างช่วยไม่ได้

งูปาเสอนั้นถึงจะไม่ได้มีรูปร่างโดดเด่นน่าเกรงขามเช่นมังกรแห่งเผ่าสวรรค์ หากเทียบกับงูทั่วไปแล้วนับว่าใหญ่โตน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงได้ย่อขนาดร่างกายลงเป็นงูขนาดเล็ก เลื้อยหาถ้ำที่ไม่สะดุดตาสักแห่ง หลบพักผ่อน

มิไยว่าร่างกายนี้เสียเลือดเนื้อมากเกินไป ไม่ทันไรก็สิ้นเรี่ยวแรง จำต้องหลับตาลงข้างบ่อน้ำเก่าร้างกลางป่าอย่างไม่อาจฝืนทน

การนอนหลับครั้งนั้น หลับลึกเป็นอย่างยิ่ง ยามลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครากลับพบว่าที่ที่อยู่นั้นไม่ใช่ข้างบ่อน้ำบ่อเดิมเสียแล้ว
แต่เป็นสถานที่คล้ายกระท่อมมุงหลังคาไม้ไผ่และหญ้าที่มนุษย์สร้างขึ้น ขื่อคานและเสาในบ้านแข็งแรงทนทานมากอยู่ เขาผงกศีรษะกวาดสายตาไปรอบๆ พิจารณาแล้วว่าแม้จะไม่กว้างขวางนัก แต่ก็กันแดดกันฝน สะดวกสบายดียิ่ง

ลมป่าเขาพัดพาย นำพาเสียงแสกสากของฝีเท้าคู่หนึ่งเข้ามาใกล้ บานประตูไม้บานนั้นถูกผลักเปิด ตามด้วยอาภรณ์สีฟ้าอ่อนบางพลิ้วเคลื่อนตัวเข้ามา

ใบหน้าหนึ่งเยี่ยมหน้า โน้มลงมาชิดใกล้
เขาเกิดและเติบโตในเผ่างูปาเสอ คุ้นชินกับรูปโฉมงดงามชวนฝันของผู้คนเป็นยิ่ง อีกทั้งยังท่องเที่ยวในสี่ทะเลแปดทิศมาเนิ่นนาน มิเคยถูกมิใบหน้าดวงใดทำให้สั่นคลอนหวั่นไหวได้สักครั้ง

ใบหน้าดวงนี้กลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ความสงบนิ่งเยือกเย็นสั่นสะท้านอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย

มิได้ทันรู้ตัวเลยว่าด่านสวรรค์ขั้นต่อไปนั้น ได้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว

ช่วงเวลานับพันนับหมื่นปีต่อจากนี้จะเป็นเพียงด่านสวรรค์ด่านหนึ่งเท่านั้นเอง

*********

天青色等烟雨而我在等你
สีครามรอไอฝน ส่วนข้ารอเพียงเจ้า*

มาจากท่อนหนึ่งในเพลง 青花瓷 | Qing Hua Ci – ชิงฮวาสือ | เครื่องลายคราม ของ Jay Chou

สีครามรอไอฝน – มาจากสมัยหนึ่งการผลิตเครื่องปั้นดินเผาสีครามทำได้ยากมาก เพราะไม่ใช่สีที่เผาออกมาได้ตามปกติ แต่ต้องใช้กรรมวิธีเฉพาะคือนำออกจากเตาเผาในวันฟ้าครึ้ม ไอฝนพรำ จึงจะได้สีตามต้องการ เพราะสีที่จะปรากฏออกมาเกี่ยวกับสภาพความชื้นในอากาศค่ะ

[QZGS Fic] Eyes on …?[ชิวเสียง] [08]

[QZGS Fic] Eyes on …? #ชิวเสียง

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory

Pairing : ชิวเฟย x ซุนเสียง

Genre : AU, ABO-Omegaverse

Rate : PG

Note : ตั้งแต่ตอนหน้าไปจะมีเนื้อเรื่องบางส่วนช่วงแมทช์ชิงเกมคัดเลือกนะคะ

รวมจากใน privatter

-15- http://privatter.net/p/3500398

 

 

 

 

 

:: Eyes on …? ::

 

 

 

 

 

บอสของเจียซื่อ เถาเซวียนตอบรับการสัมภาษณ์เป็นส่วนตัวกับสื่อ ในการสัมภาษณ์นี้เถาเซวียนได้แสดงถึงความใจกว้างและเข้าอกเข้าใจในการกระทำทั้งหมดของเยี่ยซิว คำพูดสวยหรูเช่นนั้นแท้จริงแล้วไม่ต่างอะไรกับเหมือนการซ่อนปลายเข็มไว้ในผ้าไหม

แม้เจียซื่อและซิงซินจะไม่ได้เผชิญหน้ากันโดยตรง ช่วงวอร์มอัพของทั้งสองทีมเองก็ไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันแต่อย่างใด ระยะเวลาสั้นๆ สองชั่วโมงจำกัดจำเขี่ยมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มการแข่งขัน อุปกรณ์ทุกชิ้นจะได้รับการตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่มีการละเมิดกฎหรือตุกติกใดใด ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้เล่นทั้งหมดต้องออกไปก่อน

ในตอนที่ผู้เล่นของเจียซื่อมาวอร์มอัพนั้น คนของซิงซินกลับอยู่ที่นั้นก่อนแล้ว พวกเขาต่างไม่ได้พูดจาอะไรกันมากนัก เตรียมความพร้อมอยู่ในพื้นที่ของตน เพียงแค่ตอนที่ซิงซินกำลังจะจากไปนั้น กลับมีใครคนหนึ่งจากทีมเจียซื่อตะโกนขึ้นซะก่อน

“เฮ้!”

ทุกคนในซิงซินหยุดเดิน เจ้าของเสียงนั้นคือซุนเสียง

“ตั้งแต่เริ่มรอบออฟไลน์ ผมชนะ 1 ต่อ 5 ทุกนัดที่ลงแข่ง”

“…”

“คืนนี้ก็จะแบบนั้นเหมือนกัน ไม่มีข้อยกเว้น!”

“เจ้าเด็กนี้สิ้นหวังแล้ว” เฉินกั่วกล่าว คำพูดถากถางข่มขวัญแบบมือสมัครเล่นของซุนเสียง กระทั้งเธอยังไม่สะเทือน ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นในทีมที่มีภูมิต้านทานถ้อยคำพวกนี้มากกว่าเธอเยอะ ฟังผ่านหู คล้ายเป็นเพียงเสียงลมพัดเท่านั้นเอง

ทุกคนในทีมซิงซินไม่ใส่ใจเขา เดินจากไป

เวลา 20.00 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของเกมคัดเลือก เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ผู้เล่นคนแรกที่ซิงซินส่งมาคือ ถังโหรว
นี่เป็นแผนการของเยี่ยซิว ซึ่งเธอเองก็ชอบมากที่เป็นแบบนี้ เพราะผู้เล่นคนแรกที่เจียซื่อจะส่งออกมาย่อมเป็นซุนเสียง ถังโหรวชื่นชอบการต่อกรกับผู้เล่นมีฝีมือ ขณะที่มุ่งหน้าไปที่แท่นควบคุมของซิงซิน ในตอนนั้นเองที่เสียงประกาศดังขึ้น

ทีมซิงซิน ถังโหรว นักเวทสงคราม หานเยียนโหรว
ทีมเจียซื่อ เซียวสือชิน ช่างเครื่องกล เซิงหลิงเมี่ย

เซียวสือชิน!?

การแข่งขันต่อจากนั้น ผู้ชมได้ยลโฉมการเล่นของช่างเครื่องกลที่แท้จริง ภาพฉากเช่นนี้ในกีฬาอีสปอร์ตเกิดขึ้นเสมอ และกลอรี่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้สุดท้ายเซิงหลิงเมี่ยจะสูญสิ้นค่าพลังชีวิตทั้งหมดลง แต่ไม่มีใครในหมู่ผู้ชมที่เศร้าเสียใจ ตรงข้าม พวกเขาระเบิดเสียงเชียร์ดังกระหึ่มพร้อมกับปรบมืออย่างชื่นชม

เถาเซวียนเองก็ลุกขึ้นปรบมือเช่นกัน การกระทำนี้แสดงให้เห็นว่าเขาสนับสนุนการตัดสินใจของเซียวสือชิน

ฝั่งเจียซื่อเอง ผู้เล่นคนที่สองก็ได้ลุกขึ้นแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับคนส่วนใหญ่ ภายใต้เสียงเชียร์อันดังกึกก้องที่มอบให้เซียวสือชิน เขาเดินอย่างสงบไปยังแท่นควบคุมของทีมเจียซื่อ

“ผู้เล่นคนที่สองของทีมเจียซื่อ เชื่อว่าหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับนักกีฬาคนนี้มากนัก ชื่อของเขาคือ ‘ชิวเฟย’ เพิ่งถูกดึงตัวจากค่ายฝึกมาร่วมทีมฤดูกาลนี้ หลังการปรับเปลี่ยนสมาชิกแก่นแกนหลักทั้งสองนับตั้งแต่เซียวสือชินเข้าร่วมกับเจียซื่อ”

ผู้บรรยายแนะนำตัวผู้เล่นหน้าใหม่ของเจียซื่อที่ก้าวขึ้นมา

การเข้าร่วมของเขามีขึ้นหลังจากการวางมือของเยี่ยชิวเมื่อช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา และเพิ่มซุนเสียงเข้ามาแทน จากตอนนั้นมาภายในเวลาหนึ่งปีครึ่ง สมาชิกทีมเจียซื่อได้พลิกโฉมหน้าเปลี่ยนใหม่เกือบหมด ตัวชิวเฟยเองนั้น ถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมที่ยังหลงเหลืออยู่ของทีม

ฤดูกาลนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งเข้ามามากมายจริงๆ อย่างเช่น หลูฮั่นเหวินของหลานอวี่ และเกาอิงเจี๋ยของเวยเฉ่า ความสามารถของทั้งคู่โดดเด่นและเป็นที่น่าจดจำอย่างมากในงานออลสตาร์

พวกเขาทั้งคู่ถือเป็นผู้เล่นหลัก และกลายเป็นอนาคตของทีม

อย่างไรก็ตาม เปรียบเทียบกับหลูฮั่นเหวินและเกาอิงเจี๋ยที่ได้สัมผัสความเข้มข้นของการแข่งขันในลีคอาชีพแล้ว ชิวเฟยกลับได้ลงเล่นแค่ในเกมคัดเลือกเท่านั้นเอง และคู่ต่อสู้คนแรกยังเป็น ‘เยี่ยชิว’ ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่มีใครบนโลกนี้รู้จักนักเวทสงครามดีไปมากกว่าเขา

ชิวเฟยเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีและไม่เคยสงสัยในตัวเยี่ยซิวเลย สำหรับเขาอดีตกัปตันแห่งเจียซื่อมีความสามารถเพียงพอที่จะเล่นในรูปแบบใดหรืออาชีพใดก็ได้ทั้งนั้น ไม่เพียงแค่นักเวทสงคราม จะเป็นต้นแบบการเล่นหรือตำราฝึกสอนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเขาล้วนมากมายจนไม่อาจนับได้

จ้านโต่วเก๋อซื่อ… ย่อมไม่กล้าประมาทในการต่อสู้กับจวินม่อเซียว หลังจากหลบกระสุนปืนที่ลั่นจากปลายกระบอกของร่มแสนกลซึ่งเปลี่ยนรูปร่างชิวเฟยก็เลือกใช้เขี้ยวมังกรที่เพิ่งหายจากการคูลดาวน์ สกิลโจมตีพื้นฐานที่ตอบโต้ได้รวดเร็วที่สุดในสถานการณ์นี้ แต่ควันจากปลายร่มแสนกลก็ยังไม่จางหายไป

ส่วนที่เป็นปีกร่มถูกกางเปิดขึ้น

ชิวเฟยเลือกที่จะถอยกลับไปหนึ่งช่วงตัว คราวนี้ร่มแสนกลเปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปแบบหอก หมุนทิศทางชี้ตรงมาที่จ้านโต่วเก๋อซื่อ

หรือจะเป็นท่าเขี้ยวมังกร?

จวินม่อเซียวไม่มีอุปกรณ์สีเงินอันอื่นนอกจากอาวุธของเขา ค่าสถานะของอุปกรณ์ค่อนข้างชัดเจน ถึงไม่อาจระบุเป็นตัวเลขที่แน่นอน ชิวเฟยเชื่อว่าตนสามารถคำนวณค่าความสามารถอุปกรณ์ของจวินม่อเซียวได้

ใช้ท่าเขี้ยวมังกรเหมือนกัน ตามหลักแล้วเขาควรเป็นฝ่ายชนะ!

อาวุธทั้งสองปะทะฟาดฟันกัน การโจมตีแลกเปลี่ยนรุกรับกันอย่างต่อเนื่อง ชิวเฟยถึงได้รู้ตัวว่านี่ไม่ใช่การใช้ท่าเขี้ยวมังกร

จวินม่อเซียวไม่เคยออกท่าเขี้ยวมังกร แต่กลับเป็นอีกท่าของนักเวทสงคราม… ทิ่มแทงย้ำจุด!!

ชิวเฟยเล่นนักเวทสงครามมาตั้งแต่ต้น นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเล่นกลอรี่

เขาตกหลุมรักอาชีพนี้ตั้งแต่แรกเห็น

ในปีนั้น ทีมเจียซื่อคว้าแชมป์สมัยที่สาม ชื่อเสียงของมหาเทพเยี่ยชิวพุ่งทะยานเจิดจ้าดุจดังดวงอาทิตย์ แต่ท่านเทพผู้นี้กลับไม่เคยเปิดเผยใบหน้า สิ่งที่แสดงตัวตนของเขามีเพียงอย่างเดียวคือตัวละครบนสนาม

… อี๋เยี่ยจือชิว …

ท่วงท่าห้าวหาญเยี่ยงวีรบุรุษนักรบตราตรึง ซึมซาบลึกลงในใจของชิวเฟย ต่อมาเขามีโอกาสได้เข้าร่วมค่ายฝึกเจียซื่อ ข้อแตกต่างเดียวของเขากับเด็กคนอื่นๆ คือเขาไม่ได้มุ่งหวังที่จะเป็นผู้สืบทอดของอี๋เยี่ยจือชิว เขาต้องการนำพาตัวละครของตัวเองไปยืนอยู่บนสนาม ต่อสู้เช่นเดียวกับอี๋เยี่ยจือชิวตั้งหาก แต่ในขณะเดียวกัน ตัวตนของเขากลับกลายเป็นผู้สืบทอดของอี๋เยี่ยจือชิว

ตำแหน่งที่เด็กฝึกไม่รู้กี่คนอิจฉาริษยา แต่ความฝันของชิวเฟยไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังคงชื่นชอบตัวละครของตัวเอง เขารักจ้านโต่วเก๋อซื่อของเขา

ที่ค่ายฝึกเจียซื่อ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับมหาเทพเยี่ยชิว ได้สัมผัสคนคนนั้นด้วยตาตัวเอง

เยี่ยชิวต่างจากที่เขาคิดไว้มาก มหาเทพลึกลับที่ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ หาได้หยิ่งผยองเช่นที่ทุกคนคิด ชายหนุ่มคาบบุหรี่ไว้ในปาก สูบพลางพูดคุยกับคนในสโมสรเจียซื่ออย่างเป็นกันเอง แม้แต่ภารโรงของที่นี่ก็สามารถพูดอย่างภาคภูมิใจได้ว่าเคยเล่นกับเยี่ยชิว

ภารโรงไม่ได้โกหก หลายคนไม่เพียงแค่เขาได้เล่นกับท่านเทพคนนี้มาก่อนทั้งนั้น ถึงขนาดมีข่าวลือว่าพวกเขาเหล่านี้ ยามไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ก็จะดึงตัวเยี่ยชิวไปเล่นให้ และทุกครั้งเยี่ยชิวเองก็วางมือลงเล่นอย่างมีความสุข

มหาเทพเยี่ยชิวมีเพื่อนฝูงมากมาย แต่เขากลับชื่นชอบกลอรี่ในรูปแบบที่เรียบง่ายธรรมดามากที่สุด ชิวเฟยมักจะได้เห็นเขาเขียนไอดีตัวละครอื่น ไม่เพียงครั้งสองครั้ง และทุกครั้งจะเป็นไอดีที่แตกต่างกันออกไป

“อย่าไปบอกใครล่ะ!” ท่านเทพมักจะมองมาที่เขา “อีกนิดเดียว เดี๋ยวฉันจะให้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ดีๆ แทนล่ะกัน” ยามพูดเยี่ยชิวมักวางมือลงบนไหล่เขาเสมอ

อุปกรณ์ดีๆ อะไรล่ะ? ไอดีอื่นๆ ที่ท่านเทพเล่นมีแต่อุปกรณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุดทั้งนั้น แต่ใครเล่าจะคิดว่าเบื้องหลังตัวละครขยะนี้ ผู้ควบคุมจะเป็นมหาเทพที่ทรงอำนาจมากที่สุด เทพสงคราม… อี๋เยี่ยจือชิว

การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องแพ้ชนะ แต่เป็นการสนุกสนานไปกับเกม

ชิวเฟยชอบคำกล่าวนี้ของมหาเทพ และคิดเสมอว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกสนานในการแข่งขัน เขาไม่เคยละทิ้งความพยายาม หวังว่าสักวันหนึ่งนั้นจะมาถึง

คนอื่นในค่ายฝึกหัวเราะเยาะเขา เพียงเพราะตำแหน่งเขาถูกแทนที่ด้วยกัปตันคนใหม่ของเจียซื่อ ‘ซุนเสียง’ ผู้สืบทอดไอดีอี๋เยี่ยจือชิวอย่างเป็นทางการ

ชิวเฟยกลับไม่เคยคิดแบบนั้น ผู้สืบทอดของมหาเทพเยี่ยชิว? นั่นเป็นเพียงคำเรียกที่ถูกมอบให้เขาจากคนอื่น ความคาดหวังของกัปตันเยี่ย

สำหรับตัวเขาเอง… ชิวเฟยปรารถนาจะยืนเคียงข้างเทพเยี่ยชิวบนสนาม มีความสุขไปกับการแข่ง ไขว่คว้าชัยชนะด้วยกัน แต่ตัวเขาเล่นอาชีพนักเวทสงคราม ตำแหน่งหลักซ้อนทับกันอยู่ แต่ก็ไม่เคยมีใครพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?

ชิวเฟยตรากตรำเพียรพยายามมาทั้งหมดเพื่อเป้าหมายนี้ และท่านเทพเองก็มักมาที่ค่ายฝึกสอนการเล่นและชี้แนะเขาด้วยตัวเองเสมอ

หน้าร้อนที่แล้ว เราสองคนพบกันอย่างไม่คาดคิด ข้ามผ่านเกรี้ยวกราดของเขา เล่นเกมชี้แนะ เผยจุดอ่อนของเขาให้แก้ไข

ชิวเฟยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงครั้งสุดท้ายก่อนจากกันครั้งนั้น คิดถึงการฝึกซ้อมที่ผ่านมา ตัวเขาที่ยังไม่สมบูรณ์พร้อมไร้ช่องว่าง ในที่สุดก็จะจบสิ้นในการแข่งนี้เหรอ? เขาไม่สามารถหลบพ้นการโจมตีนี้ได้เลย

“จ้านโต่วเก๋อซื่อถูกโจมตี!!”

กระแสความคิดล่องลอย เสียงผู้บรรยายคล้ายลมผ่านหู

สกิลต่อสกิล จังหวะสอดประสานของคนจรที่บังคับควบคุมโดยเยี่ยซิวผ่านตัวละครจวินม่อเซียวนั้นเชื่อมต่อเป็นชุดไม่ขาดสาย

มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่… ตั้งแต่ตอนไหน…

ยามนี้เขาหันคมทวนเข้าต่อสู้กับคนที่ครั้งหนึ่งคือเป้าหมาย คนที่ครั้งหนึ่งปรารถนาจะต่อสู้เคียงข้างและคว้าชัยชนะมาด้วยกัน

จิตใจสับสนอลหม่าน

เขาคิดถึงซุนเสียง คิดถึงคำถามที่เจ้าตัวเคยถามเขา

‘เทียบกับฉัน… ฉันจะเป็นอะไรได้?’

************************************

แก้ตัวที่หายไปนาน 55555555555555+
สารภาพว่าไม่ถนัดฉากแข่งเลยค่ะ ฮือออออออออ

[QZGS Fic] General and Girl [04]

[QZGS Fic] General and Girl
Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory
Pairing : โจวเจ๋อข่าย x ตู้หมิง

Note :

เขียนเรื่องเกี่ยวกับ อี้เชียงชวนหยุนกับตู้หมิง โดยใช้คีย์เวิร์ด
1.ความเสียใจเพียงหนึ่งเดียว
2.คู่แข่ง
3.ติ่ง
– Gender bending สายซีนะคะ มีการเปลี่ยนเพศตัวละครเป็นผู้หญิงค่ะ
– OOC มิใช่น้อย เซ็ตติ้งก็ยุคโบราณ แต่ไม่มีฉากรบทัพจับศึก กาวล้วนๆ ค่ะ

 

 

 

 

[ General and Girl ]

 

 

 

 

ตู้หมิงเติบโตในกองทัพหลุนหวย ลืมตาตื่นมาในค่ายทัพตั้งแต่เยาว์วัย สำนึกชายหญิงเลอะเลือนแปลกแยกกว่าสตรีทั่วไปมากโข ไม่ต้องพูดถึงงานบ้านงานเรือน เข้าครัวนางรู้จักแต่ออดอ้อนคนทำอาหาร หยิบจับอะไรไม่เป็นสักอย่าง งานฝีมือเย็บปักไม่ต้องกล่าวถึงปะชุนเสื้อผ้าเองได้ก็ถือว่าเป็นปาฎิหาริย์แล้ว

เด็กสาวผู้ผ่านพิธีปักปิ่นมาไม่กี่เดือนคนนี้ จะมีสิ่งที่สมกับเป็นบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่หน่อยคือเรื่องอ่านออกเขียนได้ และฝีมือกระบี่เป็นเลิศ วรยุทธนางเทียบเคียงได้กับขุนพลระดับแนวหน้าของทัพหลุนหวยได้เลยทีเดียว จะมีปัญหาหน่อยคือโรคเป๋อเหลอเป็นธรรมชาติของนางและซุกซนเกินเหตุ

หลังจากเหตุการณ์หายต้อมระหว่างงานสมรสพระราชทานเมื่อปีก่อน เจ้าตัวถูกท่านแม่ทัพและท่านกุนซืออบรมครั้งใหญ่ แต่เหมือนจะไม่เข้าหัวสักเท่าไหร่ นางยังคงเที่ยวเล่นซุกซนเช่นเคย

ดีที่ระยะหลังสนิทกับหลานเฉียวชุนเสวี่ย ศิษย์น้องหญิงของท่านเสนาบดีท่านนั้น จากวิ่งตะลอนๆ ไปทั่วเมือง จึงเปลี่ยนเป็นเข้าร้านหนังสือ ร้านเครื่องเขียน ดื่มน้ำชา แกล้มขนมหวานแลกเปลี่ยนบทกวีกันแทน

มิไยว่าการกลับมาเมืองหลวงของทัพซิงซินไปกระตุ้นต่อมเลือดร้อนของนางเข้า

เมื่อสองปีก่อน ตู้หมิงที่อายุได้ 13 ปี เข้าร่วมงานประลองอันเป็นกิจกรรมความบันเทิงของกองทัพประจำปี ซึ่งปีนั้นคึกคักเป็นพิเศษด้วยกองทหารใหม่ ‘ซิงซิน’ ที่ได้รับการฝึกสอนจากแม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิวคนก่อนนั้นเข้ามาประจำการณ์ที่ชายแดนพอดี

บุรุษทั้งหนุ่มทั้งแก่ ไม่รู้จักสาวน้อยคนดีที่มาร่วมประลอง เห็นนางเป็นกระต่ายน้อยไร้พิษสง ดาหน้ามาหวังหยอกย้อเด็กสาวให้กระชุ่มกระชวย กลับต้องคมกระบี่นางไปเสียคนละหลายแผลให้ทัพหลุนหวยได้มองสมเพชกัน

ส่วนบรรดานายกองส่วนใหญ่นั้น หาใช่พวกนิยมชมชอบการลองวิชา นอกเหนือจากการรบปกติแล้ว การละเล่นเช่นนี้ย่อมไม่เข้าร่วม จะมีก็แต่นายทหารหนุ่มนาม ‘ถังโหรว’ ผู้นั้นที่ลงมาร่วมประลองด้วย

ตู้หมิงฝีมือกระบี่หาได้ธรรมดาสามัญ
ถังโหรวฝีมือทวนก็มิได้อ่อนด้อย

รุกรับกันอยู่สองชั่วยามเป็นฝ่ายสาวน้อยที่ประลองมาครึ่งค่อนวัน หมดแรงพ่ายไปก่อน

ร่างเล็กกลิ้งล้มกับพื้นดิน ท่ามกลางสายตาตะลึงลานของทัพหลุนหวย

ท่านแม่ทัพกับท่านกุนซือเองที่ปรึกษาหารือแผนการศึกอยู่ในกระโจมพลันรู้สึกผิดปกติกับเสียงอื้ออึงปนตระหนก จึงส่งคนมาถามไถ่ กลับเป็นเรื่องราวที่ได้ยินเป็นยัยหนูหมิงเอ๋อร์แพ้ประลองนายทหารหนุ่มผู้หนึ่ง

โจวเจ๋อข่ายฟังแล้วขมวดคิ้ว เจียงปัวเทายิ่งสงสัยใคร่รู้ งานการไม่เร่งด่วนถูกละวางไว้ก่อนรีบรุดมาที่ลานประลอง

ยามมาถึงทั้งคู่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะไปคนละสามรอบแล้ว และกำลังจะเริ่มรอบที่สี่

ท่านหญิงเยี่ยชิวซึ่งมาสังเกตการณ์กองทหารใหม่ของตัวเองจึงได้ยื่นมือขัดขวาง

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ล้วงหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ร่วงลงมาจากที่ซ่อน สะบัดข้อมือส่งพลังออกไป

มีดสั้นปะทะทวนและกระบี่ที่ฟาดฟันกันดังสนั่น

ฉายา ‘เทพสงคราม’ หาใช่คำกล่าวเกินจริงพลังฝีมือและวรยุทธนางสูงส่ง เป็นหนึ่งในใต้หล้าไร้ผู้กร ลำพังส่งพลังยุทธด้วยมีดสั้นเล่มหนึ่งก็สามารถปลดอาวุธ ยอดฝีมือวัยเยาว์ทั้งสองได้แล้ว

การประลองในครั้งนั้นไม่รู้ผลแพ้ชนะกันอย่างเด็ดขาด เป็นเรื่องค้างคาใจตู้หมิงมาตลอด ภายหลังต้องเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมทัพหลุนหวยจึงได้หมายมั่นไว้ในใจอย่างเงียบๆ ว่าจะต้องตัดสินกับถังเกอของนางให้ได้

มาวันนี้ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ทหารทุกเหล่าทัพผ่อนคลายจากการศึก จัดงานรื่นเริง นางจึงไม่รอช้าที่จะส่งจดหมายท้าแก่นายทหารหนุ่มซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแม่ทัพคนดังไปแล้ว

“ข้าอยากประลองกับถังเกอ…”

สองมือจับแก้มแดงๆ ใบหน้าเล็กเขินอายอย่างน่ารัก แต่ไม่ได้นำพาความเอ็นดูมาสู่ฝั่งทัพหลุนหวยเลยแม้แต่น้อย พวกเขาล้วนมองสาวน้อยผู้ตกห้วงรักด้วยแววตาเรียบเฉยเย็นชา

“อยากแก้แค้น?”

“จำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งขอสมรสพระราชทานกับลูกสาวคนโตอดีตแม่ทัพหานไป?”

สาวน้อยหันขวับ ก่อนขี้นเสียงจนแก้มป่อง

“แก้แค้นอะไร! ข้าแค่อยากประลองกับเขาเฉยๆ!”

เจียงปัวเทาลูบคาง มองภาพการลานประลองสลับกับฝั่งที่นั่งทัพซิงซิน ลูกศิษย์หนุ่มของมหาเทพสงครามเยี่ยชิวผู้หวนคืนสู่สนามรบ ไม่เพียงมีฝีมือการใช้ทวนที่ดุดัน แต่ยัง…

“น้องชายท่านนั้นก็หล่อเหลามากจริงๆ แหละนะ”

“ท่าน-กุน-ซือ!”

ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ก้าวขึ้นสนามแข่ง เสียงกรีดร้องของสาวน้อยสาวใหญ่แห่งเมืองหลวงที่มารอให้กำลังใจท่านแม่ทัพหนุ่มคนดังกลบเสียงระฆังสัญญาณ ด้านหน้าเขาเป็นเด็กสาวร่างเล็ก ใบหน้าน่ารักแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสเจิดจ้า

ถังโหรวจากทัพซิงซิน และ ตู้หมิงจากทัพหลุนหวย ระหว่างทั้งคู่มีเส้นกั้นบางๆ ที่มองไม่เห็นอยู่ มือวางประสานบนอาวุธประจำตัวเพื่อเตรียมพร้อม

“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เจอท่านบนสนามประลองนี้”

ถังโหรวส่งรอยยิ้มบางให้สายหนึ่ง พาให้ผ้าเช็ดหน้าและพัดจีบในมือของหญิงสาวหลายนางถูกจิกทึ้งด้วยความอิจฉาริษยา เมื่อไม่นานมานี้แม่ทัพหนุ่มซิงซินขอสมรสพระราชทานเป็นรางวัลและองค์จักรพรรดิพระประทานพระราชโองการอนุญาตแล้ว แต่ตำแหน่งภริยารองก็ยังว่างอยู่มิใช่เหรอ?

ยัยหนูน้อยนั้น! ฐานะชาติตระกูลก็ดี ไปหาเอาใหม่ข้างหน้าไป๊!!

“เต็มที่นะ”

น้ำเสียงหวานใส ฟังดูกระตือรือล้นเป็นอย่างยิ่ง และอีกฟากฝั่งสนามก็ตอบรับด้วยความหนักแน่นไม่ต่างกัน

“แน่นอนอยู่แล้ว”

………………..
………
……
..
.

“เสี่ยวหมิงดูตื่นเต้นนะ แต่จังหวะการจู่โจมดี ดีมากซะด้วย หรืออยากฆ่าฝ่ายนั้นเพื่อแสดงความรักอันร้อนแรง”

บางทีพวกเขาก็ไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย

“น่าจะอยากให้เขาสนใจมากกว่าล่ะมั้ง?”

“เด็กห้าขวบหรือไงกันล่ะนั่น”

ภาพบนลานประลองเรียกเสียงร้อง ‘เฮ้ย!’ อย่างพร้อมเพรียงจากฝั่งทัพหลุนหวย

มือกระบี่สาวหลบปลายคมทวนที่พุ่งเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด แต่เสียการทรงตัวจนไม่อาจหลบด้ามทวนที่ฟาดลงมาได้

“ได้แผลมั้ย?”

“ยัง”

เสียงแรกไม่แน่ชัดนักว่าเป็นเสียงของใคร แต่เสียงที่สองย่อมมาจากแม่ทัพโจวเจ๋อข่ายอย่างแน่นอน ทุกคนล้วนใจหายใจคว่ำ ผิดกับสาวน้อยที่ดูปลื้มปริ่มอิ่มเอมกับการเอาจริงของฝ่ายตรงข้ามเหลือเกิน

“สมเป็นถังเกอค่ะ!!”

รูปหัวใจแทบกระเด้งกระดอนออกมาจากดวงตากลมโตของเด็กสาวร่างเล็ก

“ขาดแค่ตะโกนว่า ‘ข้ารักท่าน’ ออกมานี่ก็จะเป็นการประลองสารภาพรักแล้วล่ะข้าว่า”

“ถ้าย้ายทัพตอนนี้ได้ ยกนางให้เป็นอนุแม่ทัพซิงซินไปเลยดีมั้ย?”

“ยัยเด็กนั่นได้ดีใจจนรีบเก็บข้าวของไปวันนี้เลยน่ะสิ!!”

ชัยชนะย่อมตกเป็นของแม่ทัพหนุ่มแห่งซิงซิน ไม่ผิดความคาดหมายของใครหลายคนสักเท่าไหร่ และตามธรรมเนียมแล้ว จะมีการเดินมาจับมือกันระหว่างกันหลังจบการประลอง แต่ธรรมเนียมในข้อนี้หากผู้ประลองเป็นชายหญิงนั้น ไม่นิยมปฏิบัติกันสักเท่าไหร่

ถังโหรวลดทวนในมือลงแล้วกำลังหันหลังเพื่อเดินลงจากลานประลอง กลับมีมือคู่หนึ่งยื่นมาให้ ฝ่ามือเรียวเล็กบอบบางของเด็กสาว สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ตัวเขาและเธอคนนั้น เฝ้าหวังปฏิกิริยาระหว่างคู่ประลองที่เพิ่งต่อสู้กันไปว่าจะเป็นเช่นไร

ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มนุ่มนวลอบอุ่นที่ดูละมุนละไมอย่างยิ่งให้เด็กสาว ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อมือที่ยื่นค้างมานั้นฉวยจับมือเขาไปกุมไว้ พร้อมประกาศกร้าว

“ครั้งหน้าข้าไม่แพ้แน่!!”

เสียงหวานสดใสของสาวน้อยไม่ดัง แต่ก็ไม่เบานัก ผู้คนในบริเวณนั้นได้ยินกันทุกคน

ฝั่งทัพหลุนหวยถึงขั้นกุมขมับ ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดีกับสถานการณ์เช่นนี้ เนื่องด้วยสภาพของสาวน้อยคนดี ‘หมิงเอ๋อร์ของท่านแม่ทัพ’ สะบักสะบอมเป็นอย่างยิ่ง บังเกิดความคิดตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่าอย่าได้หันไปมองหน้าท่านแม่ทัพในตอนนี้จะดีกว่าไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับฝั่งทัพซิงซินที่อึ้งกิมกี่ไม่แพ้กัน

ผิดกับฝ่ายผู้ถูกท้าทาย ถังโหรวอึ้งไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาแย้มรอยยิ้มสว่างไสวด้วยความเอ็นดูอย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก

“ไว้เจอกันคราวหน้านะ เสี่ยวหมิง”

เสียงกรี๊ดราวนภาถล่มจากสตรีหลายนางที่หวังตำแหน่งภรรยารองท่านแม่ทัพ เสียงกรีดร้องด้วยความรู้สึกริษยาที่ก่อตัวขึ้นพุ่งทะลุถึงขีดสุดแทบมอดไหม้ร่างตู้หมิงให้เป็นจุลได้เลยทีเดียว

ตู้หมิงกะพริบตาปริบ ก่อนพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง สองขาพาร่างลงจากลานประลองอย่างช้าๆ ใบหน้าก้มต่ำ แล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้น

เจียงปัวเทากับฟางหมิงหัวเห็นท่าไม่ดี รีบร้อนเข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อใบหน้าเล็กที่เงยขึ้นมานั้นสดใสเสียล่ะเกิน ดวงตากลมโตนั้นเล่า… แพรวพราวระยิบระยับอย่างน่าตีสักหลายทีๆ จึงเปลี่ยนเป็นคำสั่งสอนแทนพูดปลอบ

“เสี่ยวหมิง คราวนี้ท่านแม่ทัพโกรธจริงๆ นะ”

“ไม่มั้ง…”

“เจ้าดื้อเจ้าซนอย่างไร ท่านแม่ทัพไม่เคยว่ากล่าวห้ามปราม แต่ไหนแต่ไรตามใจเจ้ามาโดยตลอด แต่เจ้าถือเป็นคนของทัพหลุนหวย รวมประลองครานี้ไม่เพียงชื่อเสียงตัวเอง บนหลังเจ้ายังมีชื่อของทหารทั้งทัพอยู่บนบ่า ครั้งนี้เจ้าเล่นเลยเถิดไปจริงๆ”

“ท่านแม่ทัพไม่พูดยาวขนาดนี้แน่”

ตู้หมิงไม่เห็นเรื่องคราวนี้จะเป็นปัญหาตรงไหน แพ้ชนะในการประลองเป็นเรื่องปกติ ใช่ว่าตนเคยเข้าร่วมประลองครั้งแรกเสียเมื่อไหร่

ชายหนุ่มทั้งสองสบตากัน… หากเจ้าได้เห็นใบหน้าท่านแม่ทัพยามนี้ ยังจะสามารถลอยหน้าลอยตากล่าววาจาเช่นนี้ได้อีกหรือไม่

ร่างเล็กเช็ดทำความสะอาดส่วนคมที่ต้องโลหิต แล้วสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก หมายมั่นในใจว่าจบงานประลองจะวิ่งไปขอท้าพี่ชายคนนั้นอีกคราให้…

“กักบริเวณ”

ประโยคสั้นห้วนดังเหนือศีรษะ สุ้มเสียงเคร่งขรึมเย็นชาพาให้ความหวาดกลัวแล่นพล่านขึ้นจับขั้วหัวใจ

โกรธ… จริงๆ ด้วย

โจวเจ๋อข่ายไม่ได้โกรธที่เด็กสาวยังคงปักใจกับแม่ทัพหนุ่มไม่เลิกรา แต่โกรธที่สนุกสนานจนหลงลืมทุกสิ่ง และทำให้ตัวเองบาดเจ็บ

********

โดนโกรธจนได้ ไม่รู้จะสงสารหรืออะไรยัยหนูหมิงหมิงดีนะคะ 5555555

[QZGS Fic] General and Girl [03]

[QZGS Fic] General and Girl
Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory
Pairing : โจวเจ๋อข่าย x ตู้หมิง

Note :

เขียนเรื่องเกี่ยวกับ อี้เชียงชวนหยุน x ตู้หมิง โดยใช้คีย์เวิร์ด
1.คนเงียบๆ/พูดน้อย
2.แบบนั้นแหละดีแล้ว
3.หนีงานแต่งงาน
– Gender bending สายซีนะคะ มีการเปลี่ยนเพศตัวละครเป็นผู้หญิงค่ะ
– OOC มิใช่น้อย เซ็ตติ้งก็ยุคโบราณ แต่ไม่มีฉากรบทัพจับศึก กาวล้วนๆ ค่ะ

 

 

 

 

[ General and Girl ]

 

 

 

 

โจวเจ๋อข่ายหาใช่คนเคร่งขรึมเย็นชา แต่ไหนแต่ไรมาเพียงแค่ชื่นชอบความสงบเงียบ จึงพูดน้อยเท่านั้นเอง

แม้ขาดบิดามารดาตั้งแต่ยังเยาว ชีวิตในวัยเด็กเขาก็ไม่ได้ลำบากยากเข็ญ มีพร้อมทั้งความเป็นอยู่ที่ดี ญาติมิตรที่เอื้อเฟื้อดูแล และการศึกษาเล่าเรียนเฉกเช่นผู้ที่เติบโตในตระกูลบัณฑิตทั่วไป

ทรัพย์สมบัติของสกุลโจวสั่งสมมาหลายชั่วอายุคน อาศัยแค่กิจการที่ลงทุนไว้ก็สามารถเลี้ยงดูคนในจวนได้แล้ว

หากสิ่งหนึ่งที่ขาดไปคือความอบอุ่นของครอบครัว …

โจวเจ๋อข่ายไม่เคยได้รับรู้ความรู้สึกของการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา วันคืนในแต่ละปีที่ล่วงเลยไปมีเพียงเขาลำพังในห้องอาหารอันเงียบเหงา

ฟางหมิงหัว สหายเก่าของบิดาเล็งเห็นความสามารถเขา จึงแนะนำให้เกณฑ์เข้ากองทัพหลวง

สกุลโจวเป็นตระกูลบัณฑิตและนักปราชญ์ เคยเป็นขุนนาง เคยเป็นพ่อค้า แต่ยังมิมีผู้ใดเป็นทหารมาก่อน และด้วยรูปร่างหน้าตาในวัยเยาว์ของเขาค่อนข้างผิดแผกจากเด็กหนุ่มทั่วไปอยู่สักหน่อย ในตอนแรกจึงมีการกระทบกระทั่งและหยอกล้อกันบ้าง แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวและความสามารถของเขา ต่อมาทุกคนล้วนไร้ข้อกังขาในฝีมืออีกต่อไป

ย่ำผ่านสนามรบและสมรภูมิเลือดมากมาย ชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกร เขาคิดถึงแต่ข้าศึกศัตรูเบื้องหน้า สนใจเพียงการรบพุ่งต่อกรและความตื่นเต้นในการช่วงชิงเอาชัยเหนือฝ่ายตรงข้าม

กระทั้งเขาเจอเด็กคนหนึ่ง… ดวงตาว่างเปล่าเลื่อนลอย ริมฝีปากเล็กบางแห่งแตกส่งเสียงอืออาไม่เป็นคำ เด็กคนนี้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชั่วพริบตา หลงเหลือเพียงแต่ตัวเองบนโลกอันกว้างใหญ่ ในผืนดินนี้ไม่มีสักคนที่จะยืนหยัดเพื่อตัวนาง

เขายื่นมือออกไป
ตอนนั้นคิดเพียงตนสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้ใครสักคนได้ก็คงดี

ต่อมาเขากลับพบว่าไม่ใช่ตนที่เป็นที่พึ่งพิงให้เด็กคนนั้น แต่เด็กคนนั้นเป็นที่พึ่งพิงให้ตัวเขาตั้งหาก

คำแรกที่นางพูดได้คือชื่อของเขา
คนแรกที่นางยิ้มให้คือตัวเขา

เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป

 

“หวงโฮ่วมีราชโองการ แม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิวทำความดีความชอบ กบฎชายแดนสิ้นสลาย ปกป้องแผ่นดินรุ่งเรือง นำความสงบร่มเย็นสู่ประชาราษฎร์ เพื่อมีให้วัยสาวล่วงเลยด้วยพันธกิจของบ้านเมือง จึงมีรับสั่งให้นางได้แต่งงานกับบุรุษที่เหมาะสมเป็นเลิศในทุกด้าน เพื่อตอบแทนคุณความดีที่ทำให้แผ่นดิน”

สมรสพระราชทานหล่นใส่ศีรษะ ในรายละเอียดมิได้ระบุตัวเจ้าบ่าว กล่าวเพียงต้องเป็นบุรุษผู้เลิศล้ำ เก่งกาจทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ทำคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ทัดเทียมกันกับนาง

แม่ทัพอี้เชียงชวนหยุนและแม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิวรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาร่วมปี หนุ่มแกร่งกล้าสาวห้าวหาญเหมาะสมคู่ควรตรงตามความหมายในโองการทุกตัวอักษร

โจวเจ๋อข่ายกับซุนเสียงมองหน้ากันบังเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา ฝ่ายชายหนุ่มดวงตาว่างเปล่าคล้ายไม่รับรู้ไม่แยแส เป็นฝ่ายเด็กสาวร่างสูงโปร่งในชุดเกราะรบผุดลุกขึ้น

ท่านหญิงซุนเสียงคว้าทวนเชวี่ยเสียที่ได้รับพระราชทานจากองค์จักรพรรดิรางวัลในการศึกเมื่อครั้งก่อนเคาะดังปึง แผดเสียงใส่ผู้นำราชโองการ

“เชี่ย! ข้าเพิ่ง 16 จะให้รีบแต่งงานไปไหนห๊ะ!!”

กำหนดการเดิมของนางคือกลับไปหามารดาผู้มีฐานันดรศักดิ์สูงยิ่งท่านนั้นเพื่อรับตราตั้งเป็นองค์หญิงของแคว้น และถวายตัวเข้าวังหลัง เป็นพระสนมองค์จักรพรรดิ ระหว่างเดินทางกลับแคว้นผ่านชายแดนที่กำลังรบพุ่งกันพอดีจึงได้เข้าร่วมกับกองทัพหลุนหวย อาสาช่วยรบจนได้รับความดีความชอบปูนบำเหน็จมากมาย ยืดเวลาออกไปได้ ไหนเลยจะคิดว่าเสร็จศึกจะมีราชโองการเช่นนี้ส่งตรงจากเมืองหลวง นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ !!

หากนี้เป็นพระราชเสาวนีย์โดยตรงจากหวงโฮ่ว ไม่อาจบิดพลิ้วเกี่ยงงอน แม้อาละวาดกันจนเสาเรือนรับรองวินาศไปแถบหนึ่ง เก้าอี้รับรองพังเสียหายไปอีกสามแถว ซุนเสียงก็จำต้องคุกเข่ารับสมรสพระราชทานนี้ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ดี

โจวเจ๋อข่ายชื่นชอบซุนเสียง แต่ไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่นางเชิงชู้สาว ทั้งยังคิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระสิ้นดี นี่เป็นกลเกมการเมืองระหว่างแคว้นบทหนึ่งเท่านั้น

ประการแรก หวงโฮ่วท่านนั้นไม่ต้องการขั้วอำนาจในวังหลังที่นางควบคุมไม่ได้เพิ่ม จึงขัดขวางสกุลซุน ไม่เปิดโอกาสให้ชนเผ่านอกด่านเข้ามามีอำนาจในวังหลัง

ประการที่สอง ซุนเสียงฝีมือดี ช่วยรบในสงคราม ตำแหน่งแม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิวที่ประทานให้เป็นรางวัลในตอนนั้นถูกต้องคู่ควรแล้ว แต่ในยามสิ้นศึก นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพกับองค์หญิงแคว้นอื่น มีกำลังพลของแคว้นเราในควบคุมย่อมไม่เหมาะสม

การมอบสมรสพระราชทานให้คือเป็นการปลดนางออกอย่างละมุนละม่อม และขจัดการแทรกแซงจากแคว้นอื่นไปในตัว

 

ซุนเสียงเองใจร้อนวู่วาม หากมิใช่คนโง่งม

เมื่อกลับเมืองหลวง งานแต่งนี้ยังไงต้องมีขึ้น นี่คือสมรสพระราชทาน ใจนางไม่ปรารถนา แต่อย่างไรก็ต้องแต่ง คิดเพียงว่ายามนี้ไปตายเอาดาบหน้าก่อน

โจวเจ๋อข่ายกับนางสนิทสนม คบหาเป็นสหายกันมา เรื่องแค่นี้คุยกันได้อยู่แล้ว เข้าพิธีวิวาห์ แต่งกลบเกลื่อนไป แล้วค่อยหาทางชิ่งหนีทีหลัง อย่างดีผ่านไปสักเดือนสองเดือนเดี๋ยวแม่ทัพหนุ่มก็หาเจ้าสาวใหม่ได้เอง ส่วนนางผ่านการแต่งงานไปแล้ว ตำแหน่งแม่ทัพหญิงที่ถูกสวมลงบนบ่านี้ก็จะถูกปลดออกไปโดยปริยาย

ตัวนางไม่มีภาระอีกต่อไป

 

การแต่งงานในครั้งนี้ คนยินดีที่สุดกลับเป็นตู้หมิง

เด็กสาวชอบซุนเสียงมาก พี่สาวคนสวยแข็งแกร่ง กล้าหาญ ยามถือทวนฆ่าฟันศัตรูไม่กะพริบตา ยามขึ้นสายธนู เหนี่ยวลูกศรทีละสามดอกจากบนหลังม้า พุ่งสังหารฝ่ายตรงข้ามในชั่วอึดใจ

กองทัพหลุนหวยปราศจากสตรี มีเพียงซุนเสียงและผู้ติดตามเท่านั้นที่เป็นหญิง ยัยหนูน้อยจึงชื่นชอบการเล่นกับพี่สาวคนนี้และพี่สาวคนสวยทั้งหลายมาก

ยามนั่งบนรถม้าเดินทางกลับเมืองหลวง นอกจากความตื่นเต้นที่จะได้เห็นเรือนสกุลโจวของท่านแม่ทัพแล้ว ก็คืองานแต่งงานของเอ้อร์เสียงเจี่ยเจียกับท่านพี่เจ๋อข่ายของนาาง

เด็กสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้วร่าเริงพูดคุยซักถามไม่หยุด ซุนเสียงเห็นใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่เอ็นดูเป็นพิเศษพาให้ไม่อาจบอกความจริงเบื้องลึกเบื้องหลังงานแต่งงานนี้ได้

 

การแต่งงานระหว่างโจวเจ๋อข่ายกับซุนเสียง แม้ไม่ยิ่งใหญ่งานอภิเษกสมรสขององค์จักรพรรดิ หนึ่งนั้น ฝ่ายเจ้าบ่าวคือแม่ทัพหนุ่มรูปงาม กรำศึกมานานนับสิบปี ไร้พ่ายไร้ผู้ต่อกร ฝ่ายเจ้าสาวเป็นแม่ทัพหญิงผู้รับสืบทอดตำแหน่ง ‘อี๋เยี่ยจือชิว’ พระราชทินนามของเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ จากเมืองหน้าด่านชายแดนสู่เมืองหลวงใช้เวลาแรมเดือน พักหายใจไม่ถึงสัปดาห์ ด้วยพระราชเสาวนีย์จากองค์หวงโฮ่วท่านนั้น ทุกอย่างจึงถูกจัดเตรียมตั้งแต่ออกโอษฐ์แล้ว เมื่อข้าวของเครื่องใช้พร้อมสรรพ ฤกษ์งามยามดีพิธีวิวาห์ก็เริ่มต้นขึ้นโดยคู่บ่าวสาวเพียงเข้าพิธีสมรสตามประเพณีเท่านั้นเอง

โจวเจ๋อข่ายสวมชุดสีแดงงดงาม ใบหน้าหล่อเหลาคมคายไม่แสดงอาการยินดียินร้าย ราวกับทำหน้าที่ตามพระประสงค์ของเบื้องบนในฐานะขุนนางเท่านั้น ท่าทางไม่เหมือนผู้ตบแต่งภรรยาเข้าตระกูลแม้แต่น้อย

ฝ่ายเจียงปัวเทาซึ่งมาทำหน้าที่เป็นต้อนรับแขกเหรื่อประดุจญาติพี่น้องท่านแม่ทัพกลับเป็นฝ่ายยิ้มแย้มทักทายผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกหัวระหองด้วยใบหน้าสดใส

“ยิ้มสักหน่อยเถอะเสี่ยวโจว ข้ายิ้มแทนท่านจนเมื่อยปากไปหมดแล้ว”
“เจียงน่าจะเป็นเจ้าบ่าว”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเจียงปัวเทากระตุกเล็กน้อย ยังไม่ทันให้สองหนุ่มได้พูดอะไรต่อ ห่างไปไม่ไกลนัก อู๋ฉี่… สายสืบและนักลอบสังหารประจำกองทัพยักคิ้วหลิ่วตาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา ใบหน้าชายหนุ่มซีดขาวราวกระดาษ

โจวเจ๋อข่ายพลันขมวดคิ้ว พยักหน้าให้คนในบัญชาเข้ามารายงาน

“ตู้หมิงหายตัวไป”

เจียงปัวเทารู้ดีว่าเด็กสาวผู้นั้นมีความหมายกับแม่ทัพหนุ่มมากแค่ไหน นางไม่ใช่แค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยงแบบขอไปที แต่เป็นคนสำคัญของชายหนุ่ม เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่โจวเจ๋อข่ายมี ประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำนี้ไม่ต่างจากมีดคมกริบที่แทงเข้าจุดอ่อนนุ่มที่สุดของคนตรงหน้า

ความอดทนของแม่ทัพอี้เชียงชวนหยุนหมดลงตั้งแต่คำว่า ‘หายไป’ ไม่ทันจบประโยคดี โจวเจ๋อข่ายก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนชายคา ถีบเท้าส่งตัวขึ้นสู่อากาศ เสื้อคลุมเจ้าบ่าวสีแดงงดงามบินถลาลงตามแรงลม ร่วงลงลนศีรษะของเจียงปัวเทา

“เจ้าแต่ง”
“เดี๋ย-”

เสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เหาะเหินหายไปจากคลองสายตาของผู้คนในชั่วพริบตา

ท่ามกลางความงุนงงและสับสนตะลึงลาน สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เจียงปัวเทาเป็นตาเดียว

 

ความกังวลเกินพอดีของโจวเจ๋อข่ายหาใช่เรื่องแปลกประหลาด เขาเอ็นดูตามใจนางอย่างไรแต่ก็มีขอบเขตตลอดมา สิ่งที่ควรบอกกล่าวสั่งสอนไม่เคยปล่อยปละละเลย แต่เรื่องบางเรื่องนางคล้ายกับว่าไม่อาจทำความเข้าใจได้ เมื่อถึงเมืองหลวงเขาย่อมไม่รีรอให้ท่านหมอหลวงตรวจสอบร่างกายตู้หมิงว่ามีอะไรบกพร่องหรือไม่

หวังเจี๋ยซีกล่าวว่า “อาการของเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร นางแค่มีปัญหาด้านการรับรู้เล็กน้อย อาจเป็นผลมาจากการกระทบกระเทือนด้านจิตใจเกินไปในวัยเยาว์ พฤติกรรมนางจึงเหมือนเด็กเล็ก ดูแลได้ก็ดูแลกันไปเท่านั้น”

โจวเจ๋อข่ายฟังแล้ว ไม่เห็นเป็นปัญหาตรงไหน… ให้ดูแลตู้หมิงตลอดชีวิตตนก็สามารถทำได้ แต่เมื่อถึงเวลา คลาดสายตาไปไม่กี่ชั่วยาม นางกลับหายตัวไปเสียแล้ว ด้วยวรยุทธที่นางได้รับการสอนสั่งจากเขาและคนอื่นในทัพหลุนหวย ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็ไม่อาจทำอันตรายนางได้โดยง่าย แต่เมืองหลวงไม่เหมือนเมืองหน้าด่าน… ชายแดนที่นางเติบโตมา ร้อยเล่ห์กลหลุมพรางล่อหลอกของผู้คน ด้วยตรรกะการรับรู้ของนาง อันตรายที่ราวกับตายทั้งเป็นมากมายสามารถเป็นได้หมด

ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย หัวใจเขาแขวนลอยบนเส้นด้าย ถูกบีบรัดด้วยคมมีดที่ทิ่มแทงเข้ามาจนปวดร้าว

“อ๊ะ! ท่านพี่เจ๋อข่าย!”

เสียงสดใสร่าเริงอันคุ้นเคย เรียกรั้งฝีเท้าที่กำลังจะโจนทะยานไปอีกฟากฝั่งเมือง ชายหนุ่มแตะฝ่าเท้าร่อนลงเบื้องหน้าเจ้าของเสียง

ใบหน้าไร้เดียงสาส่งรอยยิ้มแสนซื่อจริงใจให้ ดวงตากลมโตใสกระจ่างคู่เดิมมองด้วยความตื่นเต้นยินดี

“ไม่สิๆ อยู่ข้างนอก มีคนอื่นต้องเรียก ‘ท่านแม่ทัพ’ ตั้งหาก…”

เด็กสาวพูดเองตอบเองเสร็จสรรพ

“ไม่ต้อง”

ตู้หมิงกะพริบตาปริบๆ หันซ้ายหันขวาเห็นเพียงตัวเองและคนตรงหน้า ไม่มีคนอื่นอยู่ ถ้าอยู่กันสองคนก็เรียกได้เหมือนเดิม? พยักหน้าหงึกหงัก ทำความเข้าใจเองอย่างง่ายๆ

เด็กสาวเอียงคอมองชายหนุ่มค่อยๆ ทรุดลงนั่งตรงหน้า ในมือถือมงกุฎดอกไม้ที่ร้อยสวยงามบนค้าง รอบกายมีแต่กลีบดอกไม้หลากสีสัน ตัดกับพื้นหญ้าเขียวขจี

ตู้หมิงไม่ได้หายตัวไปไหนไกลหรือเที่ยวเล่นซุกซนอย่างที่คนอื่นเข้าใจ นางเพียงอยากมอบของขวัญแต่งงานให้ท่านพี่เจ๋อข่ายกับเอ้อร์เสียงเจี่ยเจียของตัวเอง แต่คิดไปคิดมาปักผ้าก็ไม่ได้เรื่อง เครื่องประดับสวยๆ อย่างจี้หยกหรือกำไลทองก็เลือกไม่เป็น เดินไปเดินมาจนถึงสวนบุปผาของท้ายเรือนพอดี

เลือกไปร้อยไป ดอกไม้ที่โดนเด็ดทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว ถึงได้มงกุฎดอกไม้งดงามสองอันขึ้นมา

“อันนี้ให้ท่านพี่เจ๋อข่าย”

ร่างเล็กยิ้มกว้าง ขณะที่คนตัวสูงกว่าโน้มศีรษะลงมาให้นางวางของขวัญได้อย่างสะดวก

“ส่วนอันนี้ของเอ้อร์เสียงเจี่ยเจีย”

ตู้หมิงมองมือใหญ่ที่ฉวยมงกุฎดอกไม้ในมือตัวเองไป แล้วนำกลับมาวางไว้บนศีรษะนางด้วยสายตางุนงง

“แบบนี้แหละดีแล้ว”

เดิมทีทั้งเขาทั้งซุนเสียงก็ไม่ได้อยากแต่งงานกัน… แต่เจียงปัวเทากับซุนเสียงมีความรู้สึกดีๆ ให้กันอยู่แล้ว ขาดแค่แรงส่งเสริมเท่านั้น

เขาจะรอ… จนกว่านางจะพร้อม

 

หนึ่งปีต่อมา แม่ทัพอี้เชียงชวนหยุนจัดพิธีปักปิ่นให้เด็กสาวผู้หนึ่งที่นำมาจากเมืองหน้าด่านด้วยตัวเอง …

 

**********************************

 

ตอนหน้ายัยหนูหมิงหมิงจะได้ประลองกับถังเกอของนางสมใจล่ะค่ะ 55555555555+

 

[QZGS Fic] General and Girl [02]

[QZGS Fic] General and Girl
Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory
Pairing : โจวเจ๋อข่าย x ตู้หมิง

Note :

เขียนเรื่องเกี่ยวกับ โจวเจ๋อข่าย x ตู้หมิง โดยใช้คีย์เวิร์ด
1.ความไร้เดียงสา
2.ทำของตก
3.เรือ
– Gender bending สายซีนะคะ มีการเปลี่ยนเพศตัวละครเป็นผู้หญิงค่ะ
– OOC มิใช่น้อย เซ็ตติ้งก็ยุคโบราณ แต่ไม่มีฉากรบทัพจับศึก กาวล้วนๆ ค่ะ

 

 

 

 

[ General and Girl ]

 

 

 

 

วังหลวง
หลังจากเสร็จสิ้นงานต้อนรับท่ามกลางเหล่าขุนนางแล้ว ด้วยศักดิ์ฐานะอันลึกลับซับซ้อนของแม่ทัพหนุ่ม

หวงโฮ่วจึงพระราชเสาวนีย์เรียกแม่ทัพหนุ่มนายนี้เข้าเฝ้าด้วย โดยหวงกุ้ยเฟยอีกท่านตามมาสมทบภายหลัง

ศึกนี้นั้นมิอาจเทียบได้กับการพลิกฟื้นชายแดนและขับไล่ชนเผ่านอกด่านเกือบสิบปีของแม่ทัพอี้เชียงชวนหยุน หากสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาราษฎร์เป็นอย่างยิ่ง ว่าแผ่นดินนี้มีแม่ทัพนายกองมากมายที่พร้อมจับดาบถือทวนสู้ศึกเพื่อปกป้องแว่นแคว้น

“สมเป็นศิษย์เยี่ยซิว”

หวงโฮ่วโบกมือเบาๆ หนึ่ง ก่อนเอ่ยอนุญาตให้ลุกขึ้น

“ได้ท่านอาจารย์เยี่ยซิวสอนสั่งนับว่าเป็นบุญคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้”

ถังโหรว ภูมิหลังยังคงเป็นปริศนา แต่ใต้ธงทัพซิงซินของอดีตแม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิว เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบแปดปีผู้นี้สามารถนำทัพกว่าห้าพัน รุกไล่ศัตรูที่ซ่องสุ่ม ฉวยโอกาสมานานปีได้สำเร็จในเวลาไม่ถึงสิบเดือน

พรสวรรค์นี้หาได้ยากยิ่ง

เยี่ยซิวรบเพื่อนางและน้องชายมาตลอด กระทั้งวางมือจากทัพเจียซื่อก็ยังตระเตรียมกองกำลังนี้ไว้เพื่อเป็นฐานอำนาจไท่จื่อ

“แล้วรางวัลที่ได้…แม่ทัพหนุ่มจะทูลขอสมรสพระราชทานให้มารดากับสุนัขโง่ตัวนั้นหรืออย่างไร?”

ไม่ทันให้หวงโฮ่วชมเชยแม่ทัพคนใหม่อีกประโยค ฝ่ายหวงกุ้ยเฟยกลับชิงกล่าวขึ้นก่อน ใบหน้างามซึ้งข้ามผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแย้มสรวล ในขณะที่มองหวงโฮ่วจิกเล็บลงกับฝ่ามือขาวจนเกิดรอยถลอก

“ท่านแม่หวังเพียงความสงบสุขในบั้นปลาย ส่วนสุนัขโง่ที่ท่านกล่าวถึง นางหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงเอ่ยกับข้าว่าน่าจะแต่งท่านเสนาบดีหรือมือขวาท่านนั้นเป็นภรรยาเอกให้จบๆ ไป”

หวงกุ้ยเฟยฟังแล้วชอบใจนัก ตบพระแท่นที่นั่งอย่างไม่กลัวเสียกิริยาแม้แต่น้อย กลับเป็นหวงโฮ่วท่านนั้นที่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

อาซิวหนออาซิว เจ้าจะใจแข็งไปถึงไหน?

ข่าวสารเมืองหลวงแพร่สะบัดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ไม่ถึงครึ่งวันหลังเข้าเฝ้าเรื่องที่แม่ทัพหนุ่มแห่งซิงซิง ถังโหรวผู้นั้นขอสมรสพระราชทานก็รู้กันทั่วเมือง

ผู้เป็นเจ้าสาวคือ แม่นางเหวินอี้ ลูกสาวคนโตของอดีตแม่ทัพหานเหวินชิง

ยามข่าวนี้มาถึงแม่สาวน้อยของทัพหลุนหวย ม้วนหนังสือภาพในอ้อมแขนพลันร่วงหล่น

“ถังเกอ… จะแต่งกับเหวินอี้เจี่ยเจียเหรอ…”

เคราะห์ดีที่นางมิได้ออกมาเล่นซนเพียงลำพัง มีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรานางหนึ่งอยู่ข้างกาย จึงได้คว้าเก็บม้วนหนังสือภาพเหล่านั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนจะมีผู้ใดเห็นรายละเอียดข้างใน

“เสี่ยวหมิง… ทำใจดีๆ ไว้นะ”

เด็กสาวผู้นั้นเอ่ยปลอบ นางมีเส้นผมงามสีอ่อนและนัยน์ตากลมโตสีฟ้าครามสดใส นางคือ ‘หลานเฉียวชุนเสวี่ย’ ผู้มีศักดิ์เป็นศิษย์น้องหญิงของแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานและท่านเสนาบดีอวี้เหวินโจว

“แล้วข้าเล่า… หลานเฉียว แล้วข้าล่ะ?” นัดประลองของเรายังจะมีได้อีกเหรอ?

หลานเฉียวชุนเสวี่ยเห็นใบหน้าซีดเผือดคล้ายคนหัวใจสลายได้ แต่ฉุดนางนั่งลง ปรนนิบัติพัดวี โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเข้าใจกับสิ่งที่ตู้หมิงกังวลเป็นคนละเรื่องเดียวกันอย่างสิ้นเชิง

เด็กสาวเพียงชมชอบในการประลอง สนุกสนานกับถังโหรวที่ลงมือกับนางอย่างจริงจัง ไม่มีผ่อนปรน ผิดแผกกับบุรุษอื่นที่เห็นนางเป็นเพียงกระต่ายตัวน้อยไร้พิษสง

เวลานั้นเป็นยามเย็นย่ำแล้ว ร้านรวงทั่งไปเริ่มยกป้ายแขวนเก็บ ตรงข้ามกับอีกฝั่งถนนที่ป้ายร้านถูกยกแขวน

ใต้แสงสลัวเจือจางของอาทิตย์อัสดงที่เริ่มลับขอบฟ้า หลานเฉียวชุนเสวี่ยพลันปรากฏความคิดดีงามขึ้นมาได้

เรื่องทุกข์ใจให้ไหลไปกับสุราและนารี!

“เสี่ยวหมิงไปดื่มกัน!!”

หลานเฉียวชุนเสวี่ยทุบมือแปะ พยักหน้าหงึกหงักแบบคิดเองเออเอง เรียกเสียงอุทานแบบทำความเข้าใจไม่ทันให้กับเพื่อนสาว

“ห๊า…”

“ข้าจะพาเจ้าชมสาวงามทั่วเมืองหลวง ชิมอาหารอร่อยทุกหัวถนน และดื่มด่ำสุรารสเลิศใต้ทิวทัศน์งดงามยามค่ำคืน!!”

คิดได้ก็ไม่รอช้า หลานเฉียวชุนเสวี่ยยกกองม้วนหนังสือภาพที่ตั้งใจมารับทั้งของตัวเองและตู้หมิงฝากให้เจ้าของร้านเก็บไว้ก่อนสักวัน เดี๋ยวพวกนางจะมารับอีกทีในพรุ่งนี้

สาวน้อยแห่งทัพหลุนหวยไม่ทันตั้งตัว โดนคนข้างกายฉวยข้อมือ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปฝั่งตรงข้ามที่เริ่มแขวนป้าย ห้อยโคมเรียงรายสว่างไสวแล้ว

ในตรอกเงียบสงบเปลี่ยวเหงาแห่งหนึ่ง มีร้านเหล้าเล็กตั้งอยู่ตรงหัวมุม เพิงไม้พุผังมอซอ กลับมีดรุณีสาวแรกแย้มสองนางนั่งพิงพักกันและกัน

นางหนึ่งนั้นฟุบหลับคาจอกเหล้าไปแล้ว อีกนางยังกอดไหสุราไม่ปล่อย ครวญเพลงโศกหวานซึ้ง เนื้อหาเป็นการพร่ำรำพันถึงสัญญาสองเรา ท่านยังจดจำได้อยู่หรือไม่?

ดึกดื่นค่อนคืนยังมิเลิกรา ชายแก่เจ้าของร้านได้แต่ถอนหายใจ ดูการแต่งกายแล้วทั้งสองนางล้วนเป็นบุตรีจากตระกูลผู้รากหมากดี มิไยคงถูกจับแยกจากชายคนรัก จำต้องตบแต่งให้กับชายคู่หมายที่ผู้ใหญ่จัดหาให้กระมัง

ดื่มสุราราดรดทุกข์ ลืมตาตื่นยังคงโศกตรมเช่นวันวาน

ชายแก่โคลงศีรษะช้า มิทันให้ครุ่นคิดว่าส่งข่าวให้ผู้ปกครองกับแม่นางน้อยทั้งสองอย่างไร

ม่านไม้ไผ่เก่าโทรมพลันถูกตลบขึ้น ลมราตรีพัดกรูเข้ามาพร้อมร่างบุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ชายหนุ่มแต่งตัวเรียบง่ายรัดกุม บนแขนข้างขวามีเสื้อคลุมผืนหนาคล้องอยู่

รูปโฉมโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก เป็นสตรีคงกล่าวได้ว่างดงามดุจภาพวาด ปานจะล่มบ้านล่มเมือง แต่ตรงหน้าคือบุรุษที่องอาจห้าวหาญ ทั่วทั้งร่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายน่าเกรงขาม

“กลับ”

เด็กสาวที่กอดไหสุราเอียงคอมองตามเสียงเรียก ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตากลมโตใสกระจ่าง ยามนี้กลับปรือปรอยฉ่ำหวาน

นางหัวเราะคิกคัก มือเอื้อมดึงชายเสื้อร่างที่ยืนเหยียดตรงเบื้องหน้า ศีรษะเล็กซุกซบ ถูไถหน้าท้องชายหนุ่มอย่างออดอ้อน

เจ้าของร่างถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม วางเสื้อหลุมลงบนไหล่นาง ก่อนฉวยร่างเล็กบอบบางขึ้นอุ้มแนบอก มือข้างที่ว่างล้วงจี้หยกชิ้นหนึ่งส่งให้เจ้าของร้าน

“จวนเสนาบดีอวี้”

************************************
“ท่านจะทำอะไรก็รีบทำทีเถอะ”
“ไม่พร้อม…”
“ท่านกลัวแต่นางไม่พร้อม ข้ากลัวแต่นางจะพร้อมไปแต่งให้ผู้อื่นมากกว่า”

เจียงปัวเทากลอกตาขึ้นฝ้าเพดานอย่างเหนื่อยใจ วางชามน้ำแกงลงบนโต๊ะ เท้าคางมองยัยหนูหมิงเอ๋อร์ที่นอนหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวบนตักแม่ทัพใหญ่

ปีนี้โจวเจ๋อข่าย 30 แล้ว ย่อมมิใช่วัยที่รั้งรอได้อีกต่อไป ตระกูลโจวรับใช้แผ่นดินมาทุกยุคทุกสมัย อดีตเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ ความสนใจในเรื่องรักใคร่ชายหญิงมีน้อย ล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน มีท่านแม่ทัพโจวเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว

ประชากรในครอบครัวน้อยเสียจนน่าใจหาย และล้วนอายุสั้นกันเป็นส่วนใหญ่ ดูอย่างคนตรงหน้านี้ก็กำพร้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ จึงได้เอ็นดูเด็กสาวที่เสียพ่อแม่ไปในสงครามเช่นกัน

เรื่องเข้าใจน่ะส่วนเข้าใจ แต่กระทั้งข้าแต่งงานจนเมียท้องแล้ว ท่านหมอฟางหมิงหัวก็ลูกจะครึ่งโหลเข้าไปแล้ว ทำไมท่านไม่ยอมเป็นฝั่งเป็นฝาสักที!!

“ไม่ได้… นางซื่อ”
“ซื่อบื้อน่ะสิไม่ว่า!!”

ครั้นจะให้แต่งอนุภรรยาหรือมีสาวใช้อุ่นเตียง โจวเจ๋อข่ายก็ไม่ยอม กลัวนางจะโดนแม่เสือสาวพวกนั้นรังแกเอา

“ข้าว่านะ… คนจะโดนป่วนเป็นแม่นางพวกนั้นมากกว่าเสียอีก”

ในอดีตใช่ว่าไม่เคยมีเรื่อง
ตู้หมิงเพิ่งอายุ 12 ขวบ เลยวัยกลัวเสียงฟ้าร้องยามฝนตกนานแล้ว แต่ยังติดนิสัยเดินกอดหมอน ตาจะปิดไม่ปิดแหล่ ปีนขึ้นเตียงแม่ทัพหนุ่ม

ปกติแล้ว พ่อลูกบุญธรรมคู่นี้ก็นอนเตียงเดียวกันทุกวัน มีบ้างที่โจวเจ๋อข่ายทำงานดึก กลัวเด็กน้อยจะเสียสุขภาพ อุ้มไปนอนก่อน แต่ส่วนใหญ่ก็จบที่ยัยหนูนอนขดตัวกลมเป็นลูกกระต่ายในอ้อมกอดชายหนุ่มอยู่ดี และก็มีบ้างเจ้าตัวโดนคนรอบข้างมอมจนสิ้นสติ มีสาวปีนไปช่วยอุ่นเตียงสำเร็จ

เปิดศึกโรมรัน พลิกผ้าห่มไปหลายสนาม โจวเจ๋อข่ายถึงได้รู้ตัว ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วหม่น ขณะหยัดกายขึ้นนั่ง ชายหนุ่มหมายจะพูดกล่าวอะไรสักคำ หญิงสาวข้างกายกลับใช้ทรวงอกอิ่มเบียดท่อนแขนกำยำ หวังปลุกไฟเสน่หาอีกครา

ตุบ!

เสียงของหนักตกลงจากเตียงพาให้สายตาหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวไปหยุดที่ต้นเสียงพร้อมกัน

ร่างเล็กจ้อยดิ้นขลุกขลักสองสามที ก่อนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนิ่มจะค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมา

ดวงตากลมโตใสแจ๋วจ้องมองเจี่ยเจียคนสวยกับ ‘ท่านพี่เจ๋อข่าย’ ของตัวเอง ร้องเรียกเสียงร่าเริง พลางมุดผ้าห่มปีนไปแทรกตัวตรงกลาง เอนกายลงนอน ตบฟูกปุ๊ๆ ร้องเรียกให้นอนด้วยกัน

“อุ่นดีๆ นอนสามคนอุ่นดี!”

คิดถึงเรื่องนี้ทีไร เจียงปัวเทาพลันรู้สึกปวดม่วนในท้องทุกที

ความไร้เดียงสากับสติไม่สมประกอบห่างกันเพียงกระดาษกั้น

“เดี๋ยวตื่น…”

หากต้นเหตุกลับไม่นำพา เอ่ยเตือนเขาที่ส่งเสียงกุกกัก กุนซือเจียงยกมือยอมแพ้ ก่อนจากไม่ลืมกำชับว่าให้ยัยหนูหมิงเอ๋อร์ดื่มน้ำแกงสร่างเมาด้วย กรอกเหล้าใส่กระเพาะเล็กๆ ไปขนาดนั้นเดี๋ยวตื่นมาได้สำลักน้ำดีน้ำเหลืองพ่นของที่กินไปเมื่อวานออกมาหมดแทน

“อือ…”

ร่างเล็กขยับตัวยุกยิก ปลายนิ้วขยี้ตาจนแดงช้ำ คราวนี้เขาจึงได้รับสายตาดุดันจากการทำกระต่ายน้อยตื่นเข้าจริงๆ

เจียงปัวเทาถอนหายใจช้า

“อย่าลืมให้นางดื่มน้ำแกง”

สาวน้อยแก้มแดง ปากแดง ตาแดงก่ำราวกับเป็นลูกกระต่ายน้อยจริงๆ ถูกประคองเอนลงซบกับแผ่นอกกว้าง มือประคองชามน้ำแกงที่กุนซือคนสนิทยื่นให้จรดริมฝีปากบาง

น้ำแกงไหลหกเลอะเทอะจากริมฝีปากเล็กที่เผยออ้าแค่เล็กน้อย หวังจะให้นางดื่มจนหมดมีเพียงจับกรอก ไม่ก็ปลุกนางให้ตื่นขึ้นมากินเองดีๆ แต่โจวเจ๋อข่ายกลับไม่เลือกสักทาง

แม่ทัพหนุ่มดื่มน้ำแกงชามน้ำลงไปเอง จังหวะที่เด็กสาวอ้าปากน้อยๆ ขึ้นก็ถูกประกบปิดปากด้วยริมฝีปากของชายหนุ่มที่ตระกองกอดไว้

ภาพฉากเช่นนี้ เจียงปัวเทาชินชาเสียแล้ว หาไม่เป็นผู้อื่นมายืนตรงนี้แทนคงตื่นตกใจ มองตาค้างคว้านหาเสียงตนเองไม่เจอเป็นแน่

อีกนิดท่อนไม้ก็จะกลายเป็นเรืออยู่ร่อมร่อ!
ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าให้ท่านรีบๆ ทำอะไรสักอย่างที!!!

ตู้หมิงตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองนอนอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ มือข้างหนึ่งวางบนศีรษะนางลูบเบาๆ สายตาที่ทอดมองอบอุ่นใจดีเหมือนทุกครั้ง

“ท่านพี่เจ๋อข่าย!!”

เด็กสาวเรียกเสียงใส ซุกตัวกับอ้อมแขนที่รอรับอยู่ ออดอ้อนเสียงใส

ครั้งอยู่ชายแดน นางที่ถูกท่านแม่ทัพชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เมื่อหายเลอะเลือนพูดได้คำครึ่งคำ สรรพนามที่ได้รับการสอนสั่งจากท่านแม่ทัพคือ ‘ท่านพี่เจ๋อข่าย’ หาใช่ ‘ท่านพ่อ’ ชายหนุ่มกล่าวว่าตนยังไม่แก่ขนาดมีลูกเท่านาง เป็นเพียงพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น

เด็กหญิงพยักหน้าหงึกหงัก รับคำอย่างว่าง่าย ไม่นานนักจึงเป็นคำเรียกขานตามอยู่กันลำพัง ไม่ก็คนสนิท

เช่นเดียวกับยามนอน…

ตู้หมิงมักนอนหลับไม่สนิท หากไม่มีท่านพี่ข้างกาย หลายครั้งหลายครามักสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย

เด็กน้อยอยู่ในที่มืดมิดเพียงลำพัง มองไม่เห็นกระทั้งมือตัวเอง โยกไหวโคลงเคลงไปมา

จวบจนสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออบอุ่นที่ลูบแผ่นหลังแผ่วเบาและเสียงหัวใจเต้นสม่ำเสมอข้างหู จึงได้วางใจว่าตนมิได้อยู่ลำพัง

สาวน้อยคว้าหมับกอด ‘ท่านพี่เจ๋อข่าย’ แน่น เงยหน้า เอียงคอถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

“วันนี้ข้านอนกับท่านได้เหรอ?”

เมื่อแรกมาถึงเมืองหลวง จะห้องหับจวนแม่ทัพหรือคฤหาสน์หลักสกุลโจวล้วนมีมากมาย

เด็กสาวและชายหนุ่ม หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดเกินเลย ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านกล่าวเช่นนั้น

คำเรียกเช่น ‘ท่านพี่’ ก็เช่นกัน กำชับว่านางไม่ควรเรียกเช่นนั้น ต่อหน้าคนอื่นให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพ’ จะดีกว่า

ชายหนุ่มยิ้มบาง ขณะที่วางมือบนศีรษะเล็ก ลูบเบาๆ ก่อนเอ่ยสั้นๆ ว่า

“ได้”

ใครว่าดื่มสุราเมรัยตื่นแล้วความทุกข์จะยังอยู่ ข้าว่าไม่เห็นจริงเลย!!

 
*********

เมื่อวานแต่งสด อายุตัวละครในเรื่องเลยเคลื่อนนะคะ เดี๋ยวเราย้อนไปแก้ใหม่ ขอใส่ไว้ตรงนี้ก่อน

แม่ทัพโจว 30
ท่านเสนาอวี้ 32
ท่านหมอหวัง 33

หมิงเอ๋อร์กับหลานเฉียว 15
อี้ฟาน 14

ภรรยาท่านกุนซือเจียงอายุ 17 ปีค่ะ
ถังโหรวกับเหวินอี้ 18

[QZGS Fic] General and Girl [01]

[QZGS Fic] General and Girl
Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory
Pairing : โจวเจ๋อข่าย x ตู้หมิง

Note :

เขียนเรื่องเกี่ยวกับ โจวเจ๋อข่าย x ตู้หมิง โดยใช้คีย์เวิร์ด
1.ไม่ให้อภัย
2.วัยเด็ก
3.หนึ่งวันที่ไม่เหมือนทุกวัน
– Gender bending สายซีนะคะ ฟิคนี้ตู้หมิงกับซุนเสียง(ที่ยังไม่ออก)เป็นผู้หญิงค่ะ
– OOC มิใช่น้อย เซ็ตติ้งก็ยุคโบราณ แต่ไม่มีฉากรบทัพจับศึก กาวล้วนๆ ค่ะ

 

 

 

 

[ General and Girl ]

 

 

 

 

สมัยที่เพิ่งรับตำแหน่งแม่ทัพเมฆา อี้เชียงชวนหยุน เขาถูกส่งมารบชายแดนเป็นครั้งแรก ยามที่ม้าศึกมาถึงเมืองหน้าด่าน กลับพบชาวบ้านจำนวนมากที่ทะลั่กเมืองมา เสียงร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง และซากศพกองทับเรียงรายสองข้างทาง

โจวเจ๋อข่ายหาใช่ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็มิอาจทำใจให้คุ้นชินได้สักที

ฟางหมิงหัว คนสนิทท่านแม่ทัพคนก่อนกล่าวว่า เขาอ่อนโยนเกินไป … แต่เพราะอ่อนโยน ถึงได้เข้าใจความโหดร้ายยิ่งกว่าใคร

!!!
เสียงม้าร้องอย่างตกใจดังขึ้น เมื่อก้อนขยุกขยุยก้อนหนึ่งกลิ้งลงมาขวางทางทัพ

ดีว่าตกลงเบื้องหน้าท่านแม่ทัพโจว ด้วยฝีมือบังคับควบคุมอาชาอันเป็นเลิศ และประสาทสัมผัสอันฉับไว จึงมิได้ย่ำเหยียบลงไป แต่ปากกระสอบก็ได้เปิดกว้างออก

ที่แท้ในนั้นเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง…. มาภายหลังจึงรู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง

เด็กน้อยผู้นั้นไม่พูดไม่จา
ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายบ้าใบ้

คนอื่นกล่าวเช่นนั้น แต่โจวเจ๋อข่ายกลับส่ายหน้าช้า
นางไม่ได้บ้า เพียงแค่สูญเสียทุกอย่างจนไม่ปรารถนาจะรับรู้สิ่งใด

 

เวลาผ่านไป ฟางหมิงหัวกลับพบว่าการที่ยัยหนูนั้นนั้นเงียบใบ้เมื่อแรกเจอเป็นเรื่องหลอกลวงสิ้นดี เมื่อเริ่มกลับมาพูดได้ นางก็พูดไม่หยุด เจี๊ยวจ๊าว วิ่งป่วนไปทั้งจวนแม่ทัพ กระทั้งค่ายทหารก็ยังวิ่งซนไปทั่ว

กุนซือเจียงกล่าวว่า กระต่ายน้อยของท่านแม่ทัพร่าเริงดี

ร่าเริงดีกับผี!! ยัยหนูหมิงเอ๋อร์นั้นสติไม่สมประกอบตั้งหาก!!

 

ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ข้าจำไม่ได้แล้ว รู้เพียงตอนนี้ข้ามีความสุขมาก

ร่างเล็กบอบบางของเด็กหญิงราว 7-8 ขวบกำลังเหยาะย่างอย่างระมัดระวังไปตามพื้นหญ้า มือยกรวบชายกระโปรงกรุยกรายที่พันแข้งขาขึ้นสูง ก่อนคุกเข่าลงชะโงกหน้ามองคนที่กำลังหลับตานอนนิ่ง

ดวงตากลมโตใสกระจ่างกะพริบปริบๆ ด้วยความสงสัย

“นี่ๆ ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ อ้าว… หลับจริงๆ เหรอ?”

ฝ่ามือโบกไปมาเหนือใบหน้าคมคายหล่อเหลาดวงนั้นหลายทีเจ้าของก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่น เด็กหญิงผุดลุกขึ้นเดินย่ำไปมารอบตัวสองสามรอบ ก่อนจะวิ่งตื้อหายไปในทิวป่า

โดยไม่ได้หันกลับมามอง ใบหน้ากลั้นยิ้มของคนแสร้งหลับแม้แต่น้อย

 

“ดอกนี้ไม่ดี ดอกนี้ไม่ค่อยสวยเลย…. อื้อๆ ดอกนั้นงามดี! ดอกโน้นสีน่ารัก!”

เด็ดพลางโยนทิ้งพลาง ระหว่างทางที่ร่างน้อยนั้นเดินผ่านมีแต่กลีบดอกไม้ร่วงพรู หากในอ้อมแขนเล็กก็ยังมีดอกไม้อีกหลายกำ

กลีบบุปผาละลานตาพร่างพราวร่วงหล่นราวกับสายฝน

เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่เบือนหน้าหลบไปมา กลิ่นหอมหลากหลายชนิดทำให้งุนงงสับสนไปครู่ใหญ่ จนต้องรวบจับข้อมือเล็กของคนโปรยดอกไม้ไม่หยุดไว้

“ตื่นแล้วๆ”

ข้อมือเล็กบอบบางสองข้างสามารถกุมรวบได้ด้วยมือข้างเดียวตบมือเป๊าะแป๊ะอย่างอารมณ์ดี

“ไปไหน?”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยห้วนสั้น กระแสเสียงกับอ่อนโยนนุ่มนวล มือเรียวยาวสากกร้านเยี่ยงบุรุษผู้ถือจับแต่ศาสตราวุธลูบสางเส้นผมรุ่ยร่ายบนศีรษะเล็ก เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิด ก่อนตอบ

“ไปเรียนเขียนหนังสือกับกุนซือเจียง ไปเล่นกับคุณลุงหมิงหัว อ๋อๆ หนึ่งชั่วยามที่แล้วมีคนให้ข้ามาตามท่านแม่ทัพ.. เรื่อง… เรื่อง….”

“ช่างเถอะ”

โจวเจ๋อข่ายตัดบท แล้วช้อนร่างเล็กของเด็กหญิงขึ้นอุ้ม ใจหนึ่งอยากจะนอนอาบแดดต่อสักหน่อย แต่อากาศยามนี้ไม่ดีนัก รังแต่จะทำให้ร่างกายเด็กวัยกำลังโตป่วยไข้เสียมากกว่า

ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในหนึ่งวันของเขาที่ว่างเว้นจากเรื่องราวในกองทัพคือการนอนบนทุ่งหญ้าเขียวขจี ทอดสายตาไปไกลจรดเส้นขอบฟ้า โดยมีร่างเล็กอบอุ่นหลับด้วยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบนอก

นั่นคือช่วงเวลาที่ผ่อนคลายและสบายใจอย่างแท้จริง

ชายหนุ่มคิดถึงขั้นว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ตนไม่สามารถให้อภัยเด็กคนนี้ได้

 

********************************

 

ภายใต้การบัญชาของแม่ทัพเมฆา อี้เชียงชวนหยุน กำราบชาวเผ่านอกด่านปราชัยสิ้น ใช้เวลาเพียงเจ็ดปีสามารถขับไล่ชนเผ่าออกไปพ้นชายแดนไกลถึงพันลี้ บ้านเมืองสุขสงบ

องค์จักรพรรดิแต่งตั้งโจวเจ๋อข่ายเป็นแม่ทัพพิชิตแดนเหนือ เรียกกลับมารับรางวัลใหญ่ มิคาดว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ชนเผ่าน้อยใหญ่ที่ซ่องสุมกำลังอยู่ร่วมตัวกัน

แม่ทัพรักษาหน้าด่าน ตายตกใต้อุบาย สิ้นใจท่ามกลางคมหอกคมหาบของศัตรู นายทัพนายกองบาดเจ็บสาหัส ทัพหลักหลุนหวยเร่งเร้าเพียงใดก็มิอาจไปได้ทันการณ์

ท่ามกลางวิกฤต กลับมีสารด่วนจากเมืองหลวง แต่งตั้งนายกองหนุ่มผู้หนึ่งรับตำแหน่งแม่ทัพ นำรวบรวมทหารได้ห้าพันนาย โจมตีสายฟ้าแล่บ บดขยี้ทัพน้อยใหญ่แตกกระซ่านเซ็น ซ้ำบุกเดี่ยวสังหารแม่ทัพใหญ่ของศัตรู เด็ดศีรษะของแม่ทัพผู้ตลบหลังทัพหลวงได้ในคราเดียว

ชื่อ ‘ถังโหรว’ นามของนายกองผู้นั้นจึงปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่ในทันที

ภูมิหลังของบุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่แน่ชัด แต่กลศึกและฝีมือของเขาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ได้รับการสอนสั่งโดยแม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิวคนก่อน ผู้สร้างตำนานเทพสงคราม ‘เยี่ยชิว’ ผู้นั้น

เสียงฝีเท้าม้ากึกก้องดังกระหึ่ม ไพร่ฟ้าชาวประชาต่างเฝ้ารอตำนานบทใหม่ของแว่นแคว้น หวังได้ยลโฉมแม่ทัพหนุ่มสักครา

ท่ามกลางเสียงถกเถียงคาดเดา วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา เหล่าสตรีชม้อยชายตาเมืองมองไปในวงล้อมของกองทหารม้า จนกระทั้งเสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบหาย หลงเหลือเพียงเสียงกระบี่ศัสตราวุธกระทบเครื่องอานม้าแผ่วเบา

อาชาสูงใหญ่สีดำทะมึนห้อยพู่สีโลหิต เบื้องหลังเป็นธงทัพใบไม้แดงพลิ้วไสว สง่างามดั่งเปลวเพลิวร่ายระบำ บนม้าหนุ่มปรากฏร่างสูงโปร่งในชุดเกราะเหล็กสีเงินเจิดจ้า ข้างเอวสะพายดาบยาว มือกุมทวนไว้ ท่วงท่าห้าวหาญ แผ่นเหยียดตรงเข้มแข็ง ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวและน่าเกรงขามไปในเวลาเดียวกัน

ฝูงชนที่เงียบสงบในชั่วอึดใจ กลับส่งเสียงดังระงมขึ้นมา ต่างกระซิบกระซาบว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้เหมาะสมกับตำแหน่งแม่ทัพอี๋เยี่ยจือชิวยิ่งกว่าท่านหญิงซุนเสียงผู้นั้นเสียอีก

ในตอนนั้นเองมีดรุณีน้อยนางหนึ่งใจกล้าบ้าบิ่น ร้องทักทายแม่ทัพหนุ่มเสียงดังราวฟ้าผ่า ตามด้วยปลดผ้าเช็ดหน้าที่หนีบไว้แนบอกโยนลงไปที่ถนน ตกข้างกายม้าของถังโหรวพอดิบพอดี

ถังโหรวแหงนศีรษะมองไปทางตึกข้างทาง ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาดวงนั้นพลันปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นราวกับหิมะเหมันต์หลอมละลายเมื่อใบไม้ผลิมาเยือน งดงามดุจภาพฝัน

เขาตวัดทวนในมือแผ่วเบากลับสะบัดยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นบนฝ่ามือได้ ก่อนพับเรียบร้อย และสะบัดข้อมืออีกครา ผ้าผืนน้อยนั้นเหินข้ามศีรษะของกลุ่มคนที่ยืนเบียดเสียดกัน แหวกอากาศตกลงสู่อ้อมแขนเจ้าของเดิมอย่างแม่นยำ

ดรุณีน้อยนางนั้นก้มหน้าลงต่ำคล้ายกำลังเขินอาย เหล่าสตรีน้อยใหญ่จึงถอนสายตาริษยากลับคืน กลับแลเห็นมุมปากของถังโหรวยกยิ้มบาง แทบไม่สังเกตเห็น ในแววตานั้นเจือด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง

จวบจนเสียงฝีเท้าม้าห่างไปทุุกขณะ สตรีหลายนางก็ยังเฝ้าส่งสายตาหยาดเยิ้มยั่วเย้าไปให้จนลับแผ่นหลังแม่ทัพหนุ่ม

ฝ่ายสาวน้อยผู้โชคดีน่ะเหรอ นางวิ่งตึงตังลงจากโรงน้ำชากลับจวนของท่านพ่อบุญธรรมนานแล้ว

หนึ่งปีมานี้ นับตั้งแต่ท่านแม่ทัพพิชิตแดนเหนือผู้นั้นกลับมาเมืองหลวง แม่สือพ่อชักย่ำธรณีประตูเรือนสกุลโจวเสียแทบพัง แม่ทัพใหญ่แห่งแว่นแคว้นเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบสองปี ผู้ไร้ภรรยาเอก เพิ่งทำพิธีปักปิ่นผูกผมให้สาวน้อยนางหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมไม่นาน สองพ่อลูกเนื้อหอมแห่งเมืองหลวง วันหนึ่งรับเทียบเชิญงานดูตัวไม่ขาด ใครก็หวังเกี่ยวดองกับตระกูลแม่ทัพใหญ่

ฝั่งแม่ทัพอี้เชียงชวนหยุน โจวเจ๋อข่ายนั่นแสดงประสงค์ รักไม่ยุ่ง มุ่งราชการ
ฝ่ายสาวน้อยวัยสิบหกย่างสิบเจ็ดผู้นั้น ตามปกติแล้วต้องออกเรือนไปกลับบุรุษสักผู้หนึ่งนานแล้ว กลับประวิงเวลาไม่ออกเรือนสักที บางว่านางมีชายในดวงใจ บางว่าแม่ทัพใหญ่ไม่ปรารถนาให้นางแต่งออก

ความจริงแท้เป็นเช่นไร ผู้คนฝ่ายนอกสุดจะล่วงรู้ มีเพียงสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือยัยหนูคนนั้น ตอนนี้กำลังวิ่งชายกระโปรงปลิว ไปเกาะโต๊ะทำงานของแม่ทัพโจวหน้าระรื่น

“นี่ๆ ท่านแม่ทัพ ข้าได้ผ้าเช็ดหน้าจากถังเกอด้วยแหละ!”

ตู้หมิงหรือหมิงเอ๋อร์แห่งทัพหลุนหวยคลี่ผ้าเช็ดหน้าขมุกขม่อมผืนหนึ่งตรงหน้าโจวเจ๋อข่าย แม่ทัพหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือราชการพลันขมวดคิ้วหม่น

“ให้?”
“เปล่าๆ ข้าโยนแล้วเขาคืนให้!!”

ถ้อยคำแสนสั้น ฟังคล้ายไม่มีความหมาย สาวน้อยคนดีกลับพูดตอบโต้ได้อย่างลื่นไหล ลูกสาวคนเดียวของท่านแม่ทัพพิชิตแดนเหนือผู้นี้ สามารถสื่อสารกับพ่อบุญธรรมตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ไม่อาจถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้เช่นตัวเองเท่านั้น

ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียดขึ้นสองส่วน คล้ายไม่พอใจ ก่อนกล่าวออกไปว่า “อย่าเก็บไว้”

“ทำไมล่ะ? ข้าอุตส่าห์ได้จากมือถังเกอเลยนะ!!”

มิไยว่าคนอายุน้อยกว่านั้นอ่านบรรยากาศไม่ออกยังคงร้องประท้วงงอแงต่อ

ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้สกปรกก็จริง แต่ถังเกอ! พี่ชายคนนั้นโยนส่งให้เธอเลยนะ! ตั้งแต่ประมือกันเมื่อสาม… เอ๋…. หรือสองปีก่อนนะ? เธอก็เฝ้ารอที่จะได้เจอเขาอีกครั้งมาตลอด วันนี้ได้ข่าวทัพของซิงซินที่นำโดยถังเกอของเธอเดินทางมารับรางวัลถึงเมืองหลวงพอดี สบโอกาสเหมาะจึงได้โยนผ้าเช็ดหน้าสื่อใจไป

ทิ้งไปน่าเสียดายแย่…

“…ให้ผืนใหม่” โจวเจ๋อข่ายยังคงย้ำคำเดิมมา

ตู้หมิงคิดขึ้นมาได้ในตอนนั้นเองว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ท่านแม่ทัพเองก็เพิ่งซื้อผ้าเช็ดหน้าใหม่ให้เธอตอนออกไปเดินเล่นกันคราวก่อน

ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นปักลวดลายสวยงามเป็นนกกับกระต่ายน้อยน่ารักมาก… เด็กสาวผู้นี้ให้หยิบจับกระบี่กระบอง นางล้วนทำได้คล่องแคล่ว แต่ถ้าให้หยิบเข็มปักผ้าร้อยด้ายนั้น ทำได้แค่ทิ่มตำมือตัวเองจนพรุนแทน ฝึกฝนเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่อง ท่านแม่ทัพที่เห็นปลายนิ้วเธอมีแต่รอยเข็มสั่งห้ามบุตรสาวบุญธรรมจับงานปักอย่างเด็ดขาด เธอจึงไม่เคยมีผ้าเช็ดหน้าสวยๆ มาก่อน

“ของเดิมท่านข้ายังพับเก็บไว้อยู่บนหัวเตียงโน้นนนน หอมดีๆ”

ตู้หมิงชอบมันมาก เพราะนอกจากสวยแล้วยังอบเครื่องหอมอ่อนๆ เลยวางพับเรียบร้อยไว้หนุนนอนที่หัวเตียง เด็กสาวลืมเรื่องผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับจากถังเกอของตนเสียแล้ว

ร่างเล็กพยักหน้าพลางยิ้มตอบเสียงใสแจ๋วอย่างร่าเริง พาให้ใบหน้าเคร่งขรึมคลี่ยิ้มนุ่มนวลด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

****************************************
เซ็ตติ้ง AU จีนโบราณของเพื่อนหมีคนป้ายกาวค่ะ ไทม์สคิปอย่างรวดเร็ว เพราะเดี๋ยวคนจะหาว่าเสี่ยวโจวเป็นโลลิค่อน

[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่][ตอนสาม]

[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่]

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory

Pairing : NoPairing

Genre : AU, เทพเซียนโบราณ

Rate : PG

Note : รวมฟิคเมากาวจากในทวิตซีรีส์ยมโลกของบ้านฟ้า  ค่ะ

[ตอนหนึ่ง] [ตอนสอง]

 

 

 

 

 

 

:: ตำหนักหลานอวี่ ::

‘หยาดน้ำตา ณ ตำหนักพิรุณสีคราม’

 

 

 

 

มหาเทพเยี่ยซิวกลับทำเพียงมองใบหน้าเขาด้วยสายตายากจะทำความเข้าใจ หลังกล่าวคำพูดน่าฉงน

“อีกไม่นานเจ้าก็คงได้รู้ … ว่าแท้จริงแล้วอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนจะเป็นเช่นไร”

“หลานเฉียวไม่เข้าใจที่ซ่างเสินกล่าว หลานเฉียวเป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่งในแม่น้ำลืมเลือนเท่านั้นเอง”

สายตาเยี่ยซิวซ่างเสินอ่อนโยนยิ่ง และด้วยอ่อนโยนถึงเพียงนั้น เขายิ่งกังขา

ยามถูกส่งกลับห้องนอนยังคงครุ่นคิดกังวลไม่คลาย

ได้ยินท่านแม่ทัพสวรรค์เตือนว่ามหาเทพแห่งสงครามและการดนตรีผู้นั้น ชอบกล่าววาจาเลื่อนเปื้อน เชื่อถือไม่ได้เป็นที่สุด

หลานเฉียวรู้โลกมาน้อย มักเชื่อคำพูดของท่านแม่ทัพสวรรค์อย่างไร้ข้อสงสัยเสมอมา

เพียงครั้งนี้… เขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นตามที่ท่านผู้นั้นว่าเลยสักนิด

คืนนั้นหลานเฉียวชุนเสวี่ยฝันประหลาด

หลานเฉียวชุนเสวี่ยเคยเป็นมนุษย์

ครั้งหนึ่ง… นานแสนนานมาแล้ว นานจนลืมเลือนเสียสิ้น แต่ความจริงแล้วเขากลับไม่เคยหลงลืมสิ่งใดยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดีเสมอมา เพียงแต่สลักลึกลงในแก่นแท้ของวิญญาณเท่านั้นเอง

ยามนั้นหลานเฉียวชุนเสวี่ยมิใช่หลานเฉียวชุนเสวี่ย หากเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า ‘สวี่ปั๋วหย่วน’ …

อดีตบนโลกมนุษย์นั้นมีวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนของทวยเทพบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า คอยรับมนุษย์ที่ประสงค์เดินทางสู่วิถีเซียน กราบเรียนอาจารย์ขอประสานความรู้และคุณธรรมเป็นศิษย์ก้นกุฏิ

การบำเพ็ญเพียรเป็นเทพเซียนนั้น มิใช่เพียงมีใจมุ่งมั่นใฝ่ธรรมะ แต่ต้องดูคุณสมบัติของปราณและตบะในร่างกายประกอบด้วย

สวี่ปั๋วหย่วนมีพรสวรรค์มากกว่ามนุษย์ทั่วไปเล็กน้อย จึงมีโอกาสได้ทำงานรับใช้บรรดาศิษย์เซียนระดับสูงของตำหนักหลานซีเก๋อ และยังมีสายตาไม่ธรรมดาสามารถมองออกถึงระดับปราณเทพเซียนน้อยใหญ่ได้ทีเดียว และในตำหนักหลานซีเก๋อยามนั้น ปราณเทพสีเงินเจิดจ้าผู้มาแนะนำเคี่ยวกรำการฝึกของเหล่าผู้บำเพ็ญในตำหนักวิหารแห่งสายน้ำนี้ มีเพียงผู้เดียว

‘หวงเส้าเทียนซ่างเซียน’

ผู้ซึ่งสี่หมื่นปีสำเร็จเลื่อนขั้นจากเสินจวินเป็นเซียนชั้นสูง ประกอบคุณงามความดีในการรบรากับเผ่ามารปีศาจจนเลื่องชื่อ และได้รับสมญานาม ‘เยี่ยอวี่เซิงฝาน’ มา

หลานเฉียวชุนเสวี่ยในยามนั้นกลับมิได้รู้เลยว่า นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ เท่านั้นเอง

ความฝันนั้นเป็นเพียงความฝันโดยแท้ แม้ครุ่นคิดหนักหนายามหลับใหล ตื่นมากลับลืมเลือนเสียสิ้น คล้ายเดินหลงในหมอกควัน ก้าวเดินหนึ่งก้าวพบเจอหนึ่งสิ่ง อีกก้าวจึงจะเห็นอีกสิ่งหนึ่ง

หลานเฉียวชุนเสวี่ยลืมตาอย่างเชื่องช้า หลงเหลือหลายถ้อยคำตกค้างอยู่ในใจ เหตุการณ์หนึ่งพลันปรากฏคล้ายภาพนิมิตกึ่งจริงกึ่งลวง

 

‘เหตุใดเจ้าจึงไม่ลืมเลือน หากยึดติดเช่นนี้เจ้าจะไปเกิดไม่ได้ หนำซ้ำยังอาจตกลงสู่ห้วงมาร’

‘ข้า… ข้าลืมไม่ได้…. ข้าอยู่ที่นี้’
‘…’
‘แต่ท่านแม่ทัพ… ท่านแม่ทัพยังอยู่ที่นั้น’
‘…’
‘ข้า… อยากกลับไป… อยากกลับไป…’

สีแดง… สีแดงฉาน….
ไยพิรุณบนฟากฟ้าจึงได้ปรายโปรยเป็นสีแดงกัน?

ท่านแม่ทัพ… ท่านแม่ทัพ …

ท่านทำสิ่งใดลงไป?
ไยท่านผู้นั้นจึงร่ำไห้เช่นนั้นเล่า?

จวบจนร่างวิญญาณสิ้นสลาย
เฝ้าครุ่นคิดห่วงกังวลมิรู้วาย

ว่ายวนเวียนล่องลอยปราศจากรูปกาย นับพันนับหมื่นปี

ไม่ว่าอย่างไร…. ข้าก็มิอาจลืมเลือน….

 

 

น้ำตาหลั่งรินไหลจากปลายหางตา พรั่งพรูราวหยาดพิรุณ

หลานเฉียวชุนเสวี่ยรู้สึกตัวตื่นเต็มตากลับพบว่าใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกคว้านหัวใจออกจากอก โศกเศร้าเหลือประมาณ แต่กลับไม่อาจจดจำสิ่งที่อยู่ในห้วงฝันได้สักนิด

ข้าจำได้เพียงว่าไม่อยากลืม…. แต่มิอาจนึกถึงสิ่งที่หลงลืมไปแล้ว

เสินจวินแห่งหิมะวสันต์จุ่มมือลงล้างหน้าล้างตา ลำพังเพียงพลังฝีมือเขาในตอนนี้ ต้องการรู้เรื่องราวใดของตนในอดีตล้วนไม่ง่ายดาย เบาะแสก็มิอาจจดจำได้ มีเพียงคำว่า ‘ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจลืมเลือน’ เท่านั้นที่แจ่มชัด

ยามก้าวออกจากห้องพักจึงติดจะใจลอยอยู่บ้าง สองเท้าที่แตะพื้นด้านนอกเพิ่งวางลง ร่างเล็กจ้อยของเสินจวินน้อยอีกท่านหนึ่งพลันโผพรวดกอดรวบไว้อย่างร่าเริง ถึงกับทำให้ร่างเพรียวบางถึงขั้นซวนเซ

“ท่านแม่หลานเฉียว! ท่านแม่หลานเฉียว! วันนี้ไปเที่ยวน้ำตกที่สวรรค์ขั้นสามสิบห้ากัน!!”

หลิวหยุนตัวน้อยจูงมือข้าเดิน ทางในตำหนักหลานอวี่แห่งนี้กว้างขวางกว่าตำหนักหลานซีเก๋อที่ยมโลกหลายเท่านัก แต่กลับเงียบสงัดผิดวิสัยยิ่ง อย่างไรเจ้าของตำหนักแห่งนี้คือแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝาน ควรจะมีบรรยากาศสดชื่นมีชีวิตชีวามากกว่านี้ตั้งหากถึงจะถูกต้อง

เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้… หลานเฉียวนึกแปลกใจตนเองอยู่บ้าง ก่อนกล่าวแก้ในใจเสร็จสรรพว่าเพราะคุ้นชินกับบุคลิกอันจริงใจและท่วงท่าเปิดเผย พาให้ผู้พบเจอรู้สึกราวกับพบเจอดวงตะวันของท่านแม่ทัพตั้งหาก

ครั้นมาถึงหน้าห้องครัว หลานเฉียวกับหลิวหยุนกลับพบซ่างเซียนท่านหนึ่งกำลังปัดกวาดห้องรับประทานอาหารด้วยท่าทางง่วงซึมเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าหมดจดดวงนั้นค่อนข้างติดจะสงบนิ่งเฉยชา เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากันจึงกล่าวกับข้าอย่างเรียบง่ายว่า

“รอสักครู่ เส้าเทียนยังอยู่ข้างใน”

ข้าเหลือบมองหลิวหยุนอย่างงุนงง กลับถูกมือคู่นั้นพามานั่งลง รินน้ำชาให้หนึ่งถ้วยก่อนแนะนำว่า

“พี่เจิ้งเซวียนเป็นขุนพลของทัพสวรรค์น่ะ!”

ซ่างเซียนท่านนี้ปกติอาศัยในตำหนักหลานอวี่ไม่ได้มีเรือนเป็นของตัวเอง และที่แห่งนี้นั้นถือเป็นที่ทำการณ์หลักของทัพหลานอวี่ซึ่งเต็มไปด้วยเซียนบุรุษมากมาย ไม่สะดวกให้มีเซียนหญิงรับใช้เข้าออกนัก จึงมีแต่เซียนน้อยใหญ่ผลัดกันมาดูแลสภาพความเป็นอยู่ในตำหนักแทน อาหารการกินก็จัดการดูแลกันเอง และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของตำหนักอย่างท่านแม่ทัพลงมือเข้าครัว

ข้ามองประตูห้องครัวรู้สึกไม่ถูกต้องนักที่ให้ท่านแม่ทัพสวรรค์ต้องมาหุงหาอาหารให้ตนรับประทาน เอ่ยกับเสี่ยวหลูว่า

“ขอไปช่วยเป็นลูกมือท่านแม่ทัพดีกว่า”

เสินจวินน้อยพยักหน้าหงึกหงักก่อนเอ่ยอย่างยินดีว่า “อยากกินอาหารฝีมือท่านแม่หลานเฉียว!”

ไม้กวาดในมือของซ่างเซียนด้านนอกร่วงดังปุ๊

 

ยามหลานเฉียวชุนเสวี่ยเข้ามานั้นกลับเจอภาพแม่ทัพสวรรค์ผู้สง่างามกำลังม้วนแขนเสื้อควงตะหลิวยกกระทะอย่างคล่องแคล่วหน้าเตา ร้องตะโกน

“ฟืนไม่พอ! ฟืนไม่พอ! เจ้าสองคนจะขี้เกียจเกินไปแล้ว นั่งรอข้าอย่างเดียวจนชินไม่คิดจะช่วยเป็นลูกมือบ้างเหรอ!! ถ้าไม่ใช่วันนี้มีหลานเฉียวขึ้นมาด้วย ข้าจะให้พวกเจ้านั่งแทะลูกท้อผลหมากรากไม้กินกันตาย!!”

สำนึกผิดชอบชั่วดีของหลานเฉียวชุนเสวี่ยถูกตีกระหน่ำด้วยวาจาของท่านแม่ทัพผู้เคารพนับถือ ตะลีตาลานเร่งมองหาฟืนเติมไฟให้บุรุษที่ควงตะหลิวแทนกระบี่อย่างรีบร้อน

“ขออภัยที่มารบกวนท่านแม่ทัพ”

คำพูดนี้เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิด กลับเห็นมือสองข้างที่สอดประสานราวกับร่ายรำเพลงกระบี่หยุดชะงัก

“เอ่อ… ข้าไม่ได้ว่าเจ้า หลานเฉียว”

ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานกลับเป็นฝ่ายขอโทษขอพายกลับเสียแทน เปลวไฟส่งเสียงเปร๊าะเปรี๊ยะ เร่งให้ข้าใส่ไม้เพิ่มฟืนเข้าไปในช่องเตาอย่างรวดเร็ว

ท่วงท่ามือหนึ่งกระทะ อีกมือตะหลิวของท่านแม่ทัพพาให้ข้านึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง และนึกขึ้นมาได้ว่าสมัยกาลก่อนนั้น ท่านแม่ทัพเองเคยได้ร่ำเรียนวิชาเฉกเช่นเซียนทั่วไป ฝีมือการทำกับข้าวอันคล่องแคล่วนี้นั้นน่าจะติดตัวมาตั้งแต่สมัยเป็นซ่างเซียนก้นกุฎิมาก่อน

จะว่าไปแล้ว… ท่านพญายมอวี้เหวินโจวเองก็ฝึกวิชาด้วยกันกับท่านแม่ทัพ การทำอาหารนี้อาจจะเรียนมาพร้อมกันก็เป็นได้?

“ท่านเรียนมากับท่านพญายมเหรอครับ?”

ท่านแม่ทัพสวรรค์มองข้าด้วยสายตาขบขันยิ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะกลั้นหัวเราะเล็กน้อยว่า

“เหวินโจวเองก็เหมือนเจ้าตอนนี้นี่แหละ สมัยก่อนเข้าครัวมาดีที่สุดแค่ช่วยข้าใส่ฟืนเท่านั้นเอง หวังให้เจ้านั้นจับตะหลิวผัดข้าว ข้าว่าเจ้ากินผลไม้หรือของดิบยังเข้าท่ากว่าอีก”

ข้าฟังแล้วกะพริบตาปริบๆ ท่านพญายมอวี้เหวินโจวผู้เพียบพร้อมด้วยความสามารถเก่งกาจรอบรู้ผู้นั้นกลับมีสิ่งที่กระทำไม่ได้ด้วยเหรอ?

“เจ้านั้นกินไม่เลือก กินกระทั้งของดิบของคาว ไม่รู้ก่อนเจอข้ากับท่านอาจารย์อยู่รอดมายังไงถึงสำเร็จเป็นซ่างเซียนได้โดยไม่ต้องพิษซะก่อน หรือจะเป็นความสามารถพิเศษของงูปาเสอเพียงกลืนกินเข้าปากได้ก็ถือว่าเป็นอาหารทั้งสิ้นกัน”

ท่านแม่ทัพตักกับข้าวใส่จานที่ชี้บอกให้ข้านำมาวางเรียง บ่นพึมพำงึมงำกับตนเอง ถ้อยคำฟังดูกระทบเสียดสีในสุ้มเสียงกลับเจือด้วยความอ่อนโยนระคนอาลัยยิ่ง

 

 

 

 

:: กู่ฉิน ::

‘แว่วเสียงเพลงพิณ’

 

 

 

 

 

อวี้เหวินโจวไม่ได้ดีดกู่ฉินมานานมากแล้ว แต่กลับจดจำวิธีปรับตั้งสายของเครื่องดนตรีได้ดียิ่ง

ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนผิวไม้เรียบลื่นของเครื่องดนตรีตรงหน้า กู่ฉินตัวนี้ทำขึ้นในที่ที่ฟ้าปลอดโปร่ง แจ่มใส มีสายลมพัดพายตลอดปี หาใช่ที่แห้งเย็นและค่อนข้างชื้นเช่นยมโลก สภาพอากาศเช่นนี้ทำให้เนื้อไม้เปลี่ยนรูปทรง ตำแหน่งคลาดเคลื่อนไป ยามบรรเลงไม่อาจเหมือนเช่นวันก่อนเก่า

ดวงตาสีครามอ่อนราวกับสายน้ำวูบไหวติดจะเลื่อนลอยเล็กน้อย คล้ายครุ่นคิดถึงความหลังอันไกลแสนไกล

ชายหนุ่มขยับบิดลูกบิดที่ทำหน้าที่ตั้งเสียง ตรงจุดนี้ของกู่ฉินทั่วไปมักทำจากไม้เนื้อแข็งเพื่อให้สามารถทนต่อแรงเสียดสีได้ แต่นี่มิใช่กู่ฉินธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในศาสตราวุธของเทพเซียนชั้นสูง การสร้างล้วนแล้วแต่เลือกสรรของชั้นเลิศมาอย่างพิถีพิถันและประกอบอย่างประณีตบรรจง แก่นแกนตัวบิดนี้ทำมาจากหยกขาวของน้ำพุหมื่นปี กระทั้งจุดฮุยซึ่งเป็นจุดบอกตำแหน่งยามบรรเลงทั้งหมดก็เป็นทองคำแท้บริสุทธิ์

อวี้เหวินโจวลูบผ่านสายที่ยามนี้เป็นเส้นไหมบางเบา หาใช่เส้นเงินอ่อนเช่นวันวานที่เคยทำหน้าที่เป็นเครื่องมือประหัตประหารชีวิต น้ำหนักที่กดลงย่อมไม่หนักหนาและเส้นสายย่อมไม่คมบาดปลายนิ้วเช่นยามนั้น

หมื่นความคิดคำนึงย่อมกลายเป็นหมื่นท่วงทำนอง

บรรเลงด้วยผู้บรรเลงคนเดิมด้วยบทเพลงเดิมกลับแตกต่าง เครื่องดนตรีชนิดนั้นขับเน้นความคิดและถ้อยคำของผู้เล่นผ่านบทเพลง

กระนั้นแล้ว เมื่อเริ่มดีดกลับคล้ายคลึงอย่างน่าประหลาด เสียงของกู่ฉินนี้ยังคงทุ้มต่ำและเลื่อนล่อง เปี่ยมด้วยความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนราวกับที่นี่คือสวนบุปผาที่มวลดอกไม้งามแห่งฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบาน

 

วันแล้ววันเล่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หลานเฉียวชุนเสวี่ยถูกเสินจวินน้อยแห่งตำหนักหลานอวี่ ท่องเที่ยวไปทั่วทุกแห่งหนบนสรวงสวรรค์สามสิบหกชั้นงดงามตระการตา แต่มิอาจดึงดูดความสนใจเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ความคิดคำนึงของคงผูกพันกับความฝันในค่ำคืนแรกที่มาถึงไม่จางหาย

ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานมองดูแล้วกล่าวว่าเขาคงคิดถึงตำหนักหลานซีเก๋อแห่งยมโลกเสียมากกว่า เสี่ยวฮั่นเหวินพยักหน้ารับก่อนคีบกับข้าวเพิ่มขึ้นให้เขาปลอบใจ

อาหารการกินของยมโลกนั้นชืดชากว่าที่นี้มากนัก

หลานเฉียวชุนเสวี่ยขอบคุณเด็กน้อยข้างกาย เมื่อหันมองใบหน้าที่คล้ายคลึงท่านพญายมถึงเจ็ดส่วนนี้กลับระลึกถึงดอกจื่อเถิงที่บานสะพรั่งกลางตำหนักขึ้นมาได้

สีของมันทำให้เขานึกถึงนัยน์ตาสีครามอ่อนของท่านผู้นั้นยิ่ง

“ข้าเก็บดอกไม้กลับไปได้หรือไม่ขอรับ” ท่านแม่ทัพมองเขา ก่อนจะพยักหน้า

สีสันของดอกไม้น่าจะนำพาความสดชื่นให้แก่ตำหนักที่เยียบเย็นนั้นได้

ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานไม่เพียงอนุญาตให้เขาเก็บดอกไม้ ยังช่วยหักกิ่งก้านดอกจื่อเถิงแสนงามที่อยู่สูงขึ้นไปอีกหลายกิ่ง

หลานเฉียวชุนเสวี่ยเงยหน้ามองหมู่มวลบุปผาห้อยระย้างามสะพรั่งจับตาแล้วเอ่ยถามว่า

“ดอกจื่อเถิงบนสวรรค์ล้วนเบ่งบานงดงามเช่นนี้ตลอดปีเลยเหรอขอรับ?”

ท่านแม่ทัพก้มมองเขา ก่อนจะเบือนขึ้นมองเถาไม้งามตรงหน้า ชั่วเสี้ยวนาทีในดวงตาคู่นั้นฉาบด้วยความอ่อนหวานปนขื่นขม และความอาลัยอาวรณ์ที่มิอาจตัดขาด

ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงตอบคำถามเขาไปพลางรวบเก็บก้านจื่อเถิงหลายดอกไว้ด้วยตัวเอง

 

“ไม่หรอก เฉพาะต้นนี้เท่านั้น”

 

ยามพาเขาขี่เมฆมงคลเหาะผ่านนภากาศ กลับสู่ยมโลกนั้น ท่านแม่ทัพผู้ขึ้นชื่อเลื่องลือมากคำพูดเงียบงันราวกับเบื้อใบอย่างน่าฉงน ระหว่างทางไร้วาจาหยอกเย้าเอ็นดูเช่นปกติ

เมื่อถึงทางเดินภายในตำแหน่ง เขาคิดจะพูดจาขอบคุณหรือกล่าวอะไรสักอย่างให้ท่านแม่ทัพคลายกังวล เหล่าชุนกลับคว้าข้อมือรั้งเขาไว้พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบว่าไปช่วยจัดการวิญญาณบนสะพานที

“ไปเถอะ”

ท่านแม่ทัพกล่าวอนุญาตแล้ว เขาก็ไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป แต่ก็มิอาจห้ามตัวเองไม่ให้เฝ้ามองแผ่นหลังที่ก้าวเดินไปจนสุดสายตาได้เช่นกัน

 

พันปี… หมื่นปี…
ข้าและเจ้าล้วนเสแสร้งลืมเลือนมาโดยตลอด

หวงเส้าเทียนลอบกำดอกจื่อเถิงในเสื้อแน่น ความทรงจำก่อนเก่าผุดพรายขึ้นมาในห้วงคำนึง พาให้รีบร้อนไปยังห้องทำงานของพญายมแห่งยมโลก

กลีบดอกไม้สีครามอ่อนร่วงโรยเกลื่อนกลาดตามรอยเท้าที่ย่ำผ่าน

เมื่อไปถึงห้องด้านใน เขาเห็นอวี้เหวินโจวยืนเหนือโต๊ะทำงาน ตรงหน้าคือกู่ฉินอันนั้น

ใบหน้าในกาลก่อนซ้อนทับกับปัจจุบัน

หวงเส้าเทียนเห็นมวลบุปผาลอยละล่อง ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น อวี้เหวินโจวกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน ข้อมือขาวบอบบางนั้นวางบนเส้นไหมนุ่ม ปลายนิ้วกรีดร่ายพลิ้วไหว

บรรเลงบทเพลงแห่งใบไม้ผลิแก่มวลบุปผาที่บานสะพรั่ง

เฉกเช่นในยามนี้ ที่ร่างสูงโปร่งหันมา… นัยน์ตาสีครามอ่อนคู่นั้น ใบหน้าหมดจดดวงนั้น

หวงเส้าเทียนพลันปล่อยก้านดอกจื่อเถิงที่กุมกระชับไว้โดยไม่รู้ตัว

“เจ้าเองเหรอ เส้าเทียน”

คนตรงหน้าแย้มยิ้มอบอุ่นนุ่มนวล

“ข้าเอง”

เขาตอบอวี้เหวินโจวเช่นเดียวกับวันนั้น

 

… ทั้งที่ควรลืม
เราทั้งคู่กลับจารจำสลักลึก ติดตรึงฝังจิตไม่ลบเลือน

 

*******

 

อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ~~~

ท่านเทพสองคนนั้นอยากลืมวันวานยังหวานอยู่ไปทำไมกัน~~~