[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่]
Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory
Pairing : NoPairing
Genre : AU, เทพเซียนโบราณ
Rate : PG
Note : รวมฟิคเมากาวจากในทวิตซีรีส์ยมโลกของบ้านฟ้า ค่ะ
[ตอนหนึ่ง] [ตอนสอง]
:: ตำหนักหลานอวี่ ::
‘หยาดน้ำตา ณ ตำหนักพิรุณสีคราม’
มหาเทพเยี่ยซิวกลับทำเพียงมองใบหน้าเขาด้วยสายตายากจะทำความเข้าใจ หลังกล่าวคำพูดน่าฉงน
“อีกไม่นานเจ้าก็คงได้รู้ … ว่าแท้จริงแล้วอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนจะเป็นเช่นไร”
“หลานเฉียวไม่เข้าใจที่ซ่างเสินกล่าว หลานเฉียวเป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่งในแม่น้ำลืมเลือนเท่านั้นเอง”
สายตาเยี่ยซิวซ่างเสินอ่อนโยนยิ่ง และด้วยอ่อนโยนถึงเพียงนั้น เขายิ่งกังขา
ยามถูกส่งกลับห้องนอนยังคงครุ่นคิดกังวลไม่คลาย
ได้ยินท่านแม่ทัพสวรรค์เตือนว่ามหาเทพแห่งสงครามและการดนตรีผู้นั้น ชอบกล่าววาจาเลื่อนเปื้อน เชื่อถือไม่ได้เป็นที่สุด
หลานเฉียวรู้โลกมาน้อย มักเชื่อคำพูดของท่านแม่ทัพสวรรค์อย่างไร้ข้อสงสัยเสมอมา
เพียงครั้งนี้… เขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นตามที่ท่านผู้นั้นว่าเลยสักนิด
คืนนั้นหลานเฉียวชุนเสวี่ยฝันประหลาด
หลานเฉียวชุนเสวี่ยเคยเป็นมนุษย์
ครั้งหนึ่ง… นานแสนนานมาแล้ว นานจนลืมเลือนเสียสิ้น แต่ความจริงแล้วเขากลับไม่เคยหลงลืมสิ่งใดยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดีเสมอมา เพียงแต่สลักลึกลงในแก่นแท้ของวิญญาณเท่านั้นเอง
ยามนั้นหลานเฉียวชุนเสวี่ยมิใช่หลานเฉียวชุนเสวี่ย หากเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า ‘สวี่ปั๋วหย่วน’ …
อดีตบนโลกมนุษย์นั้นมีวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนของทวยเทพบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า คอยรับมนุษย์ที่ประสงค์เดินทางสู่วิถีเซียน กราบเรียนอาจารย์ขอประสานความรู้และคุณธรรมเป็นศิษย์ก้นกุฏิ
การบำเพ็ญเพียรเป็นเทพเซียนนั้น มิใช่เพียงมีใจมุ่งมั่นใฝ่ธรรมะ แต่ต้องดูคุณสมบัติของปราณและตบะในร่างกายประกอบด้วย
สวี่ปั๋วหย่วนมีพรสวรรค์มากกว่ามนุษย์ทั่วไปเล็กน้อย จึงมีโอกาสได้ทำงานรับใช้บรรดาศิษย์เซียนระดับสูงของตำหนักหลานซีเก๋อ และยังมีสายตาไม่ธรรมดาสามารถมองออกถึงระดับปราณเทพเซียนน้อยใหญ่ได้ทีเดียว และในตำหนักหลานซีเก๋อยามนั้น ปราณเทพสีเงินเจิดจ้าผู้มาแนะนำเคี่ยวกรำการฝึกของเหล่าผู้บำเพ็ญในตำหนักวิหารแห่งสายน้ำนี้ มีเพียงผู้เดียว
‘หวงเส้าเทียนซ่างเซียน’
ผู้ซึ่งสี่หมื่นปีสำเร็จเลื่อนขั้นจากเสินจวินเป็นเซียนชั้นสูง ประกอบคุณงามความดีในการรบรากับเผ่ามารปีศาจจนเลื่องชื่อ และได้รับสมญานาม ‘เยี่ยอวี่เซิงฝาน’ มา
หลานเฉียวชุนเสวี่ยในยามนั้นกลับมิได้รู้เลยว่า นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ เท่านั้นเอง
ความฝันนั้นเป็นเพียงความฝันโดยแท้ แม้ครุ่นคิดหนักหนายามหลับใหล ตื่นมากลับลืมเลือนเสียสิ้น คล้ายเดินหลงในหมอกควัน ก้าวเดินหนึ่งก้าวพบเจอหนึ่งสิ่ง อีกก้าวจึงจะเห็นอีกสิ่งหนึ่ง
หลานเฉียวชุนเสวี่ยลืมตาอย่างเชื่องช้า หลงเหลือหลายถ้อยคำตกค้างอยู่ในใจ เหตุการณ์หนึ่งพลันปรากฏคล้ายภาพนิมิตกึ่งจริงกึ่งลวง
‘เหตุใดเจ้าจึงไม่ลืมเลือน หากยึดติดเช่นนี้เจ้าจะไปเกิดไม่ได้ หนำซ้ำยังอาจตกลงสู่ห้วงมาร’
‘ข้า… ข้าลืมไม่ได้…. ข้าอยู่ที่นี้’
‘…’
‘แต่ท่านแม่ทัพ… ท่านแม่ทัพยังอยู่ที่นั้น’
‘…’
‘ข้า… อยากกลับไป… อยากกลับไป…’
สีแดง… สีแดงฉาน….
ไยพิรุณบนฟากฟ้าจึงได้ปรายโปรยเป็นสีแดงกัน?
ท่านแม่ทัพ… ท่านแม่ทัพ …
ท่านทำสิ่งใดลงไป?
ไยท่านผู้นั้นจึงร่ำไห้เช่นนั้นเล่า?
จวบจนร่างวิญญาณสิ้นสลาย
เฝ้าครุ่นคิดห่วงกังวลมิรู้วาย
ว่ายวนเวียนล่องลอยปราศจากรูปกาย นับพันนับหมื่นปี
ไม่ว่าอย่างไร…. ข้าก็มิอาจลืมเลือน….
น้ำตาหลั่งรินไหลจากปลายหางตา พรั่งพรูราวหยาดพิรุณ
หลานเฉียวชุนเสวี่ยรู้สึกตัวตื่นเต็มตากลับพบว่าใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกคว้านหัวใจออกจากอก โศกเศร้าเหลือประมาณ แต่กลับไม่อาจจดจำสิ่งที่อยู่ในห้วงฝันได้สักนิด
ข้าจำได้เพียงว่าไม่อยากลืม…. แต่มิอาจนึกถึงสิ่งที่หลงลืมไปแล้ว
เสินจวินแห่งหิมะวสันต์จุ่มมือลงล้างหน้าล้างตา ลำพังเพียงพลังฝีมือเขาในตอนนี้ ต้องการรู้เรื่องราวใดของตนในอดีตล้วนไม่ง่ายดาย เบาะแสก็มิอาจจดจำได้ มีเพียงคำว่า ‘ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจลืมเลือน’ เท่านั้นที่แจ่มชัด
ยามก้าวออกจากห้องพักจึงติดจะใจลอยอยู่บ้าง สองเท้าที่แตะพื้นด้านนอกเพิ่งวางลง ร่างเล็กจ้อยของเสินจวินน้อยอีกท่านหนึ่งพลันโผพรวดกอดรวบไว้อย่างร่าเริง ถึงกับทำให้ร่างเพรียวบางถึงขั้นซวนเซ
“ท่านแม่หลานเฉียว! ท่านแม่หลานเฉียว! วันนี้ไปเที่ยวน้ำตกที่สวรรค์ขั้นสามสิบห้ากัน!!”
หลิวหยุนตัวน้อยจูงมือข้าเดิน ทางในตำหนักหลานอวี่แห่งนี้กว้างขวางกว่าตำหนักหลานซีเก๋อที่ยมโลกหลายเท่านัก แต่กลับเงียบสงัดผิดวิสัยยิ่ง อย่างไรเจ้าของตำหนักแห่งนี้คือแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝาน ควรจะมีบรรยากาศสดชื่นมีชีวิตชีวามากกว่านี้ตั้งหากถึงจะถูกต้อง
เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้… หลานเฉียวนึกแปลกใจตนเองอยู่บ้าง ก่อนกล่าวแก้ในใจเสร็จสรรพว่าเพราะคุ้นชินกับบุคลิกอันจริงใจและท่วงท่าเปิดเผย พาให้ผู้พบเจอรู้สึกราวกับพบเจอดวงตะวันของท่านแม่ทัพตั้งหาก
ครั้นมาถึงหน้าห้องครัว หลานเฉียวกับหลิวหยุนกลับพบซ่างเซียนท่านหนึ่งกำลังปัดกวาดห้องรับประทานอาหารด้วยท่าทางง่วงซึมเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าหมดจดดวงนั้นค่อนข้างติดจะสงบนิ่งเฉยชา เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากันจึงกล่าวกับข้าอย่างเรียบง่ายว่า
“รอสักครู่ เส้าเทียนยังอยู่ข้างใน”
ข้าเหลือบมองหลิวหยุนอย่างงุนงง กลับถูกมือคู่นั้นพามานั่งลง รินน้ำชาให้หนึ่งถ้วยก่อนแนะนำว่า
“พี่เจิ้งเซวียนเป็นขุนพลของทัพสวรรค์น่ะ!”
ซ่างเซียนท่านนี้ปกติอาศัยในตำหนักหลานอวี่ไม่ได้มีเรือนเป็นของตัวเอง และที่แห่งนี้นั้นถือเป็นที่ทำการณ์หลักของทัพหลานอวี่ซึ่งเต็มไปด้วยเซียนบุรุษมากมาย ไม่สะดวกให้มีเซียนหญิงรับใช้เข้าออกนัก จึงมีแต่เซียนน้อยใหญ่ผลัดกันมาดูแลสภาพความเป็นอยู่ในตำหนักแทน อาหารการกินก็จัดการดูแลกันเอง และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของตำหนักอย่างท่านแม่ทัพลงมือเข้าครัว
ข้ามองประตูห้องครัวรู้สึกไม่ถูกต้องนักที่ให้ท่านแม่ทัพสวรรค์ต้องมาหุงหาอาหารให้ตนรับประทาน เอ่ยกับเสี่ยวหลูว่า
“ขอไปช่วยเป็นลูกมือท่านแม่ทัพดีกว่า”
เสินจวินน้อยพยักหน้าหงึกหงักก่อนเอ่ยอย่างยินดีว่า “อยากกินอาหารฝีมือท่านแม่หลานเฉียว!”
ไม้กวาดในมือของซ่างเซียนด้านนอกร่วงดังปุ๊
ยามหลานเฉียวชุนเสวี่ยเข้ามานั้นกลับเจอภาพแม่ทัพสวรรค์ผู้สง่างามกำลังม้วนแขนเสื้อควงตะหลิวยกกระทะอย่างคล่องแคล่วหน้าเตา ร้องตะโกน
“ฟืนไม่พอ! ฟืนไม่พอ! เจ้าสองคนจะขี้เกียจเกินไปแล้ว นั่งรอข้าอย่างเดียวจนชินไม่คิดจะช่วยเป็นลูกมือบ้างเหรอ!! ถ้าไม่ใช่วันนี้มีหลานเฉียวขึ้นมาด้วย ข้าจะให้พวกเจ้านั่งแทะลูกท้อผลหมากรากไม้กินกันตาย!!”
สำนึกผิดชอบชั่วดีของหลานเฉียวชุนเสวี่ยถูกตีกระหน่ำด้วยวาจาของท่านแม่ทัพผู้เคารพนับถือ ตะลีตาลานเร่งมองหาฟืนเติมไฟให้บุรุษที่ควงตะหลิวแทนกระบี่อย่างรีบร้อน
“ขออภัยที่มารบกวนท่านแม่ทัพ”
คำพูดนี้เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิด กลับเห็นมือสองข้างที่สอดประสานราวกับร่ายรำเพลงกระบี่หยุดชะงัก
“เอ่อ… ข้าไม่ได้ว่าเจ้า หลานเฉียว”
ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานกลับเป็นฝ่ายขอโทษขอพายกลับเสียแทน เปลวไฟส่งเสียงเปร๊าะเปรี๊ยะ เร่งให้ข้าใส่ไม้เพิ่มฟืนเข้าไปในช่องเตาอย่างรวดเร็ว
ท่วงท่ามือหนึ่งกระทะ อีกมือตะหลิวของท่านแม่ทัพพาให้ข้านึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง และนึกขึ้นมาได้ว่าสมัยกาลก่อนนั้น ท่านแม่ทัพเองเคยได้ร่ำเรียนวิชาเฉกเช่นเซียนทั่วไป ฝีมือการทำกับข้าวอันคล่องแคล่วนี้นั้นน่าจะติดตัวมาตั้งแต่สมัยเป็นซ่างเซียนก้นกุฎิมาก่อน
จะว่าไปแล้ว… ท่านพญายมอวี้เหวินโจวเองก็ฝึกวิชาด้วยกันกับท่านแม่ทัพ การทำอาหารนี้อาจจะเรียนมาพร้อมกันก็เป็นได้?
“ท่านเรียนมากับท่านพญายมเหรอครับ?”
ท่านแม่ทัพสวรรค์มองข้าด้วยสายตาขบขันยิ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะกลั้นหัวเราะเล็กน้อยว่า
“เหวินโจวเองก็เหมือนเจ้าตอนนี้นี่แหละ สมัยก่อนเข้าครัวมาดีที่สุดแค่ช่วยข้าใส่ฟืนเท่านั้นเอง หวังให้เจ้านั้นจับตะหลิวผัดข้าว ข้าว่าเจ้ากินผลไม้หรือของดิบยังเข้าท่ากว่าอีก”
ข้าฟังแล้วกะพริบตาปริบๆ ท่านพญายมอวี้เหวินโจวผู้เพียบพร้อมด้วยความสามารถเก่งกาจรอบรู้ผู้นั้นกลับมีสิ่งที่กระทำไม่ได้ด้วยเหรอ?
“เจ้านั้นกินไม่เลือก กินกระทั้งของดิบของคาว ไม่รู้ก่อนเจอข้ากับท่านอาจารย์อยู่รอดมายังไงถึงสำเร็จเป็นซ่างเซียนได้โดยไม่ต้องพิษซะก่อน หรือจะเป็นความสามารถพิเศษของงูปาเสอเพียงกลืนกินเข้าปากได้ก็ถือว่าเป็นอาหารทั้งสิ้นกัน”
ท่านแม่ทัพตักกับข้าวใส่จานที่ชี้บอกให้ข้านำมาวางเรียง บ่นพึมพำงึมงำกับตนเอง ถ้อยคำฟังดูกระทบเสียดสีในสุ้มเสียงกลับเจือด้วยความอ่อนโยนระคนอาลัยยิ่ง
:: กู่ฉิน ::
‘แว่วเสียงเพลงพิณ’
อวี้เหวินโจวไม่ได้ดีดกู่ฉินมานานมากแล้ว แต่กลับจดจำวิธีปรับตั้งสายของเครื่องดนตรีได้ดียิ่ง
ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนผิวไม้เรียบลื่นของเครื่องดนตรีตรงหน้า กู่ฉินตัวนี้ทำขึ้นในที่ที่ฟ้าปลอดโปร่ง แจ่มใส มีสายลมพัดพายตลอดปี หาใช่ที่แห้งเย็นและค่อนข้างชื้นเช่นยมโลก สภาพอากาศเช่นนี้ทำให้เนื้อไม้เปลี่ยนรูปทรง ตำแหน่งคลาดเคลื่อนไป ยามบรรเลงไม่อาจเหมือนเช่นวันก่อนเก่า
ดวงตาสีครามอ่อนราวกับสายน้ำวูบไหวติดจะเลื่อนลอยเล็กน้อย คล้ายครุ่นคิดถึงความหลังอันไกลแสนไกล
ชายหนุ่มขยับบิดลูกบิดที่ทำหน้าที่ตั้งเสียง ตรงจุดนี้ของกู่ฉินทั่วไปมักทำจากไม้เนื้อแข็งเพื่อให้สามารถทนต่อแรงเสียดสีได้ แต่นี่มิใช่กู่ฉินธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในศาสตราวุธของเทพเซียนชั้นสูง การสร้างล้วนแล้วแต่เลือกสรรของชั้นเลิศมาอย่างพิถีพิถันและประกอบอย่างประณีตบรรจง แก่นแกนตัวบิดนี้ทำมาจากหยกขาวของน้ำพุหมื่นปี กระทั้งจุดฮุยซึ่งเป็นจุดบอกตำแหน่งยามบรรเลงทั้งหมดก็เป็นทองคำแท้บริสุทธิ์
อวี้เหวินโจวลูบผ่านสายที่ยามนี้เป็นเส้นไหมบางเบา หาใช่เส้นเงินอ่อนเช่นวันวานที่เคยทำหน้าที่เป็นเครื่องมือประหัตประหารชีวิต น้ำหนักที่กดลงย่อมไม่หนักหนาและเส้นสายย่อมไม่คมบาดปลายนิ้วเช่นยามนั้น
หมื่นความคิดคำนึงย่อมกลายเป็นหมื่นท่วงทำนอง
บรรเลงด้วยผู้บรรเลงคนเดิมด้วยบทเพลงเดิมกลับแตกต่าง เครื่องดนตรีชนิดนั้นขับเน้นความคิดและถ้อยคำของผู้เล่นผ่านบทเพลง
กระนั้นแล้ว เมื่อเริ่มดีดกลับคล้ายคลึงอย่างน่าประหลาด เสียงของกู่ฉินนี้ยังคงทุ้มต่ำและเลื่อนล่อง เปี่ยมด้วยความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนราวกับที่นี่คือสวนบุปผาที่มวลดอกไม้งามแห่งฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบาน
วันแล้ววันเล่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หลานเฉียวชุนเสวี่ยถูกเสินจวินน้อยแห่งตำหนักหลานอวี่ ท่องเที่ยวไปทั่วทุกแห่งหนบนสรวงสวรรค์สามสิบหกชั้นงดงามตระการตา แต่มิอาจดึงดูดความสนใจเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ความคิดคำนึงของคงผูกพันกับความฝันในค่ำคืนแรกที่มาถึงไม่จางหาย
ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานมองดูแล้วกล่าวว่าเขาคงคิดถึงตำหนักหลานซีเก๋อแห่งยมโลกเสียมากกว่า เสี่ยวฮั่นเหวินพยักหน้ารับก่อนคีบกับข้าวเพิ่มขึ้นให้เขาปลอบใจ
อาหารการกินของยมโลกนั้นชืดชากว่าที่นี้มากนัก
หลานเฉียวชุนเสวี่ยขอบคุณเด็กน้อยข้างกาย เมื่อหันมองใบหน้าที่คล้ายคลึงท่านพญายมถึงเจ็ดส่วนนี้กลับระลึกถึงดอกจื่อเถิงที่บานสะพรั่งกลางตำหนักขึ้นมาได้
สีของมันทำให้เขานึกถึงนัยน์ตาสีครามอ่อนของท่านผู้นั้นยิ่ง
“ข้าเก็บดอกไม้กลับไปได้หรือไม่ขอรับ” ท่านแม่ทัพมองเขา ก่อนจะพยักหน้า
สีสันของดอกไม้น่าจะนำพาความสดชื่นให้แก่ตำหนักที่เยียบเย็นนั้นได้
ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานไม่เพียงอนุญาตให้เขาเก็บดอกไม้ ยังช่วยหักกิ่งก้านดอกจื่อเถิงแสนงามที่อยู่สูงขึ้นไปอีกหลายกิ่ง
หลานเฉียวชุนเสวี่ยเงยหน้ามองหมู่มวลบุปผาห้อยระย้างามสะพรั่งจับตาแล้วเอ่ยถามว่า
“ดอกจื่อเถิงบนสวรรค์ล้วนเบ่งบานงดงามเช่นนี้ตลอดปีเลยเหรอขอรับ?”
ท่านแม่ทัพก้มมองเขา ก่อนจะเบือนขึ้นมองเถาไม้งามตรงหน้า ชั่วเสี้ยวนาทีในดวงตาคู่นั้นฉาบด้วยความอ่อนหวานปนขื่นขม และความอาลัยอาวรณ์ที่มิอาจตัดขาด
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงตอบคำถามเขาไปพลางรวบเก็บก้านจื่อเถิงหลายดอกไว้ด้วยตัวเอง
“ไม่หรอก เฉพาะต้นนี้เท่านั้น”
ยามพาเขาขี่เมฆมงคลเหาะผ่านนภากาศ กลับสู่ยมโลกนั้น ท่านแม่ทัพผู้ขึ้นชื่อเลื่องลือมากคำพูดเงียบงันราวกับเบื้อใบอย่างน่าฉงน ระหว่างทางไร้วาจาหยอกเย้าเอ็นดูเช่นปกติ
เมื่อถึงทางเดินภายในตำแหน่ง เขาคิดจะพูดจาขอบคุณหรือกล่าวอะไรสักอย่างให้ท่านแม่ทัพคลายกังวล เหล่าชุนกลับคว้าข้อมือรั้งเขาไว้พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบว่าไปช่วยจัดการวิญญาณบนสะพานที
“ไปเถอะ”
ท่านแม่ทัพกล่าวอนุญาตแล้ว เขาก็ไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป แต่ก็มิอาจห้ามตัวเองไม่ให้เฝ้ามองแผ่นหลังที่ก้าวเดินไปจนสุดสายตาได้เช่นกัน
พันปี… หมื่นปี…
ข้าและเจ้าล้วนเสแสร้งลืมเลือนมาโดยตลอด
หวงเส้าเทียนลอบกำดอกจื่อเถิงในเสื้อแน่น ความทรงจำก่อนเก่าผุดพรายขึ้นมาในห้วงคำนึง พาให้รีบร้อนไปยังห้องทำงานของพญายมแห่งยมโลก
กลีบดอกไม้สีครามอ่อนร่วงโรยเกลื่อนกลาดตามรอยเท้าที่ย่ำผ่าน
เมื่อไปถึงห้องด้านใน เขาเห็นอวี้เหวินโจวยืนเหนือโต๊ะทำงาน ตรงหน้าคือกู่ฉินอันนั้น
ใบหน้าในกาลก่อนซ้อนทับกับปัจจุบัน
หวงเส้าเทียนเห็นมวลบุปผาลอยละล่อง ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น อวี้เหวินโจวกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน ข้อมือขาวบอบบางนั้นวางบนเส้นไหมนุ่ม ปลายนิ้วกรีดร่ายพลิ้วไหว
บรรเลงบทเพลงแห่งใบไม้ผลิแก่มวลบุปผาที่บานสะพรั่ง
เฉกเช่นในยามนี้ ที่ร่างสูงโปร่งหันมา… นัยน์ตาสีครามอ่อนคู่นั้น ใบหน้าหมดจดดวงนั้น
หวงเส้าเทียนพลันปล่อยก้านดอกจื่อเถิงที่กุมกระชับไว้โดยไม่รู้ตัว
“เจ้าเองเหรอ เส้าเทียน”
คนตรงหน้าแย้มยิ้มอบอุ่นนุ่มนวล
“ข้าเอง”
เขาตอบอวี้เหวินโจวเช่นเดียวกับวันนั้น
… ทั้งที่ควรลืม
เราทั้งคู่กลับจารจำสลักลึก ติดตรึงฝังจิตไม่ลบเลือน
*******
อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ~~~
ท่านเทพสองคนนั้นอยากลืมวันวานยังหวานอยู่ไปทำไมกัน~~~