[QZGS Fic] หลานอวี่ต้าเสิน [หวงหลาน]

[QZGS Fic] หลานอวี่ต้าเสิน [NoPairing]

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory

Pairing : หวงเส้าเทียน < หลานเหอ (สวี่ปั๋วหย่วน)

Rate : PG

Note : ฟิคคอเมดี้เมากาวค่ะ รวมและแก้คำผิดจาก >>ทวิตนี้<< ค่ะ

 

 

 

 

 

 

:: หลานอวี่ต้าเสิน ::

 

 

 

 

 

 

นี่คือท่านเทพใหญ่หลานอวี่ ในใจหลานเหอเต็มตื้นด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่ไม่รู้จะหาคำใดมาเปรียบเปรย

ออร่าแฟนบอยเต็มขั้นเช่นนี้ เหล่ายอดฝีมือที่เหลือต่างมองด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็ยังไม่คุ้นชินกับหลานเฉียวชุนเสวี่ยเวอร์ชั่นแฟนบอยท่านเทพหวงเต็มขั้น

กิลด์หลานซีเก๋อ ทำงานให้กับสโมสรหลานอวี่ ไม่มากก็น้อย พนักงานในที่นี่ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณความเป็นแฟนคลับท่านเทพทั้งสองแห่งหลานอวี่ ผู้เป็นคมดาบและคำสาปอันแข็งแกร่ง

แต่ในหมู่แฟนคลับด้วยกันนั้น ย่อมมีระดับธรรมดา ระดับเพชร และระดับเพชรยอดมงกุฎ

อันดับหนึ่งของแฟนบอยระดับเพชรยอดมงกุฎ ผู้คลั่งไคล บูชา ท่านเทพหวงเส้าเทียน ‘หลานอวี่ต้าเสิน’ นัhน ทุกคนล้วนแล้วแต่มอบให้กับผู้ควบคุมหลานเฉียวชุนเสวี่ย หนึ่งในห้ายอดฝีมือแห่งหลานซีเก๋อ ผู้เป็นแกนแก่นหลักของกิลด์

ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของเด็กหนุ่มคนนั้น มีตราประทับหลานอวี่ทั้งสิ้น สิ่งละอันพันน้อยอย่างสายรัดข้อมือ เคสโทรศัพท์ เสื้อทีม ของใช้อย่างนาฬิกาข้อมือและรองเท้าก็ยังมีสัญลักษณ์หลานอวี่

บนโต๊ะทำงานก็เช่นกัน

สแตนดี้อะครีลิคเอย โปสเตอร์PVC ปฏิทินตั้งโต๊ะ สมุดโน็ตปากกา เรียกได้ว่ากู้ดส์ที่มีใบหน้าเยี่ยอวี่เซิงฝานที่บังคับควบคุมด้วยท่านเทพหวงนั้น หลานเหอมีครบ นับเป็นหิ้งบูชาขนาดย่อมๆ ได้เลยทีเดียว

ครั้งหนึ่งซี่โจวเคยไปพักที่ห้องส่วนตัวของเพื่อนสนิท

หิ้งบูชาย่อมๆ ที่ทำงานนั่น เรียกได้ว่าย่อมจริงๆ เพราะทั้งห้องของเพื่อนตัวน้อยคนนี้ มีแต่เยี่ยอวี่เซิงฝานและหวงเส้าเทียนจริงๆ !!

ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นโปสเตอร์ติดผนังขนาดเท่าตัวจริงของท่านเทพหวงในท่าคาเบะด้ง …

อีกฝั่งเป็นเยี่ยอวี่เซิงฝานพร้อมอาวุธสีเงินคู่ใจ ‘ปิงอวี่’ มีลายเซ้นส์ด้วยปากกาเมจิคสีทอง

นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของสวี่ปั๋วหย่วนที่ใช้ชีวิต ทำกิจวัตรประจำวันในห้องนั้นราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

ซี่โจวพลันรู้สึกว่าเพื่อนได้เปิดมิติ เข้าสู่โลกที่ตนไม่รู้จักไปเสียแล้ว

ผู้คนคิดว่าพฤติกรรมของหลานเหอเช่นนี้ คงเพราะไม่เคยสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของท่านเทพหวงมาก่อน ภาพลักษณ์ในใจของเด็กหนุ่มจึงวางท่านเทพไว้สูงส่งเป็นอย่างมาก

ชุนอี้เหลานั่นรู้ดีว่าเด็กคนนั้นเคยพบปะกับไอดอลในดวงใจแล้ว

และคำพูดเดียวที่ท่านหัวหน้ากิลด์หลานซีเก๋อคิดได้คือ ‘เกินเยียวยา’

‘อ้าวอ้าวอ้าว! คนนี้เองเหรอที่ช่วยดูแลเสี่ยวหลู เก่งนี่? เก่งมากๆ ทำดีทำดี เจ้าหนูนี่รับมือยากใช่มั้ยล่ะ? เห็นว่าไปเจอเยี่ยชิวด้วย ไม่ไหวไม่ไหว เจ้านั้นก็รังแกเด็กไปได้ ทีเกอขอ pk ไปตั้งหลายรอบกลับไม่รับ ไร้ยางอายจริงๆ’

เพียงคำพูดว่าตัวเองมีพื้นที่ในความทรงจำท่านเทพ

นัยน์ตาและใบหน้าของสวี่ปั๋วหย่วนก็ทำเหมือนราวกับชีวิตนี้ได้บรรลุนิพพานสูงสุดแล้ว

ท่านเทพหวงจำเขาได้ จำเขาได้ด้วยล่ะ!!

ยิ่งกว่าฝันไปซะอีก พนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่งในกิลด์ ถึงจะเป็นหนึ่งในห้ายอดฝีมือ แต่การที่ท่านเทพจะจดจำได้ ตนไม่เคยคาดคิดมาก่อน

“รุ่นพี่รู้จักหลานเหอเกอเกอด้วยเหรอฮะ?”

“หือ? เด็กนี่เป็นหลานเหอคนนั้นเองเหรอ จะเรียกว่าไงดีล่ะ มันติดตาน่ะ ทุกครั้งที่แข่งก็จะมีเด็กคนหนึ่งตะโกนสุดเสียง เรียกท่านเทพหวงๆ เสียงดังกว่าใคร เกาะขอบสนามตลอด ถ้าไม่ความจำเสื่อมใครก็ต้องจำแฟนคลับแถวหน้าตัวเองได้ทั้งนั้นแหละ!

เสี่ยวหลูเองก็เรียนรู้ไว้ หลานอวี่ยังไม่ให้เธอออกสื่อคนเดียวในเร็วๆนี้ แต่เมื่อเปิดตัวด้วยฝีมือและอายุย่อมมีคนติดตามแน่นอน สำคัญที่ความใส่ใจน่ะรู้มั้ย เสียงเชียร์และการสนับสนุนจากแฟนๆ และทุกคนถือเป็นหนึ่งในกำลังหลักของทีม”

ฟังไพ่ราชาสั่งสอนทายาทไป

หัวใจของหลานเหอยิ่งฟูฟ่องด้วยความสุข รู้สึกว่าตนเลือกติดตามชื่นชมทุกคนแล้ว!! หลังจากโดนท่านเทพใหญ่ มหาเทพเยี่ยชิวกลั่นแกล้งในเซิร์ฟเวอร์สิบ ดวงซวยถึงขั้นมาปะกันในซึกชิงบอสที่อาณาจักรทวยเทพ

ศรัทธาต่อตัวตนท่านเทพทั้งหลายเรื่มผุกร่อนไปตามกลุยทธไร้ยางอาย ชั่วช้า ต่ำตมไม่สิ้นสุด

ท่านเทพหวงดีที่สุด ท่านเทพหวงแข็งแกร่งเกรียงไกร! ท่านเทพหวงประเสริฐที่สุดในโลก!!

ชุนอี้เหลาถอนหายใจหนักมาก ยามมองเด็กในบัญชาคล้ายกับสติหลุดไปแล้ว ขณะที่กำลังจะเอ่ยอะไรดึงหลานเหอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ก็มีมือคู่หนึ่งผลักให้เด็กคนนั้นตกลงไปในหลุมที่ลึกกว่าเดิม…

‘ทำได้ดี! ทำได้ดีมาก!’

นั่นคือมือของท่านเทพใหญ่แห่งหลานอวี่ท่านนั้น… ที่ตบหลังตบไหล่สวี่ปั๋วหย่วนและให้กำลังใจอย่างเป็นกันเอง พร้อมโบกมือลาไปกับทายาทของตน เนื่องจากกัปตันเรียกตัว

หลานเหอ… นิ่งค้างไปห้านาทีเต็มๆ ก่อนจะโผเขย่ามือหัวหน้ากิลด์ใหญ่

ร้องเรียก ‘เหล่าชุนๆ’ สลับกับ ‘ท่านเทพหวงๆ’ ไม่หยุด
ชุนอี้เหลาหัวสั่นหัวคลอนหนักมาก และได้ยินเด็กหนุ่มพึมพำว่าเสื้อตัวนี้จะไม่ซัก เก็บแขวนไว้อย่างดี เป็นที่ระลึกความทรงจำที่สำคัญที่สุดในชีวิต!!

 

[จบ]

[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่][ตอนหนึ่ง]

[QZGS Fic] ลำนำพิรุณ [หลานอวี่]

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียนGlory

Pairing : NoPairing

Genre : AU, เทพเซียนโบราณ

Rate : PG

Note : รวมฟิคเมากาวจากในทวิตซีรีส์ยมโลกของบ้านฟ้า  ค่ะ

 

 

 

 

 

:: สะพานสีคราม ::

‘วันที่ข้าพบท่าน ณ สะพานสีคราม’

 

 

 

เงาสะท้อนสีเงินแสนงามคือโลกทั้งใบของเขาที่อยู่ใต้บ่อน้ำ

วันคืนในแม่น้ำลืมเลือนแห่งนี้ เขาไม่เคยล่วงรู้ ห้วงเวลาวนเวียนอันไร้จุดจบของสะพานแห่งนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน นานเสียจนแต่เดิมเขามีตัวตนเช่นไรมาก่อนก็มิอาจจำความได้แล้ว

ในโมงยามแสนชืดชานี้ มีหนึ่งเดียวที่เขาเฝ้ารอคอย

นานครั้ง แสงสีเงินเจิดจ้าจะแวะเวียนมาที่นี้

แสงสว่างแสงเดียวที่จับตาเขานั่นช่างงดงามเหลือเกิน ดวงจิตที่ล่องลอยนี้จึงพาตัวเองไปชิดใกล้ หวังชื่นชมด้วยความสนใจ

นับจากนั้นมา วันคืนในแม่น้ำลืมเลือนแห่งนี้ก็มิได้น่าเบื่อหน่ายอีกต่อไป

กว่าพันปีผันผ่านจิตวิญญาณข้าเริ่มขยับไหว อย่างเชื่องช้า อย่างเลื่อนลอย ค่อยๆ ขยับใกล้สะพานแห่งนั้นขึ้นทุกที

และทุกครั้งดวงใจจะเต็มตื้นด้วยความปีติยินดี

ทีละเล็กทีละน้อย

ข้าเข้าใกล้แสงสีเงินอันงดงามดวงนั้น

ข้าคิดว่าตนจักเป็นจิตวิญญาณไร้รูปกายไปตลอดกาล

จวบจนวันนั้น ยามเช้าของอรุณรุ่ง ท่ามกลางสีสันของมวลบุปผานั้น พลันปรากฏสีขาวพร่างพราวโดดเด่นเป็นพิเศษ

เกล็ดสีขาวจางตกใหม่ ปูพรมสะพานแห่งแม่น้ำลืมเลือน และตกต้องลงบนผิวน้ำ

ข้าจึงได้รู้ว่านั่นคือ ‘หิมะ’ และได้รับรูปกายมา

ข้าเป็นเพียงจิตวิญญาณในแม่น้ำลืมเลือนอย่างเงียบๆ มาตลอด

ไร้ทุกข์ ไร้โศก

ข้ามีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวคือเฝ้ามองแสงสีเงินดวงนั้น

บัดนี้แม้ความยินดีในการมีรูปกายขึ้นมาก็คล้ายกับไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก

เหล่าวิญญาณโดยรอบเมืองมองข้าด้วยความฉงนฉงาย ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้

กระทั้งเหล่ายมบาลสังเกตเห็น และท่านยายเมิ่งผู้เคี่ยวน้ำแกงพบเจอ

ข้าจึงได้รับนาม ‘หลานเฉียวชุนเสวี่ย’ ฟังว่ามาจากบทกลอนของมนุษย์ที่เฝ้ารอวันที่ใครคนหนึ่งจะกลับมาหลังฤดูใบไม้ผลิ ณ สะพานสีคราม

ตัวข้าไม่มีหน้าที่อันใดบนสะพานแห่งนี้ วันทั้งวัน เพียงเดินเล่นไปมา บางคราวช่วยเหล่ายมบาลกวาดต้อนวิญญาณที่หลงทางออกนอกแถว

วันคืนที่เลื่อนไหลนี้

ข้าเฝ้ารอ… คอยเพียงแสงสีเงินของข้าดวงนั้น

ท่ามกลางปราณเซียนคลี่คลุมคล้ายแสงอาทิตย์สาดส่อง ปรากฏเงาแสงสีเงินเจิดจรัสแทรกผ่าน คล้ายฉีกทลายแผ่นฟ้าออกมา แล้วมีร่างของบุรุษผู้หนึ่งก็เหยียบย่างลงบนสะพาน

อกข้างซ้ายข้าเต้นระรัวสั่นไหว

… เขานั่นเอง แสงสีเงินดวงนั้นของข้า

เขา… เดินผ่านข้าไปอย่างช้าๆ และไม่ได้มองมาที่ข้าเลย

พวกวิญญาณต่างหลบลี้หนีเขา พวกมีไอหยางมากหน่อยถึงขั้นกรีดร้องวิ่งหนี

ชายหนุ่มในชุดเกราะรบสีเงินเบือนมองด้วยสายตาเรียบเฉย เหล่ายมบาลทั้งหมดก็รีบปรี่มากลุ้มรุมเปิดทางให้

ข้ารู้สึกว่าไม่ง่ายนักที่จะได้พบเจอแสงสีเงินของข้า ควรจะพยายามมากขึ้นเพื่อเข้าใกล้ให้มากกว่านี้ จึงซอยเท้าวิ่งขึ้นตามแผ่นหลังนั้นไป

‘ท่าน… ท่านมีนามว่าอะไร?’

ยมบาลซ้ายขวาพลันมองหน้ากันเลิกลั่ก

ข้าเดินเล่นไปมาบนสะพานแห่งนี้มาเนิ่นนาน พวกเขา… รับรู้ว่าข้ามีตัวตน แต่ก็มิได้ใส่ใจการมีอยู่ของข้านัก ยามนี้ข้าวิ่งไล่ตามบุรุษผู้หนึ่ง เขาจึงแตกตื่นลนลานกันเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าหนูหลานเฉียว! รู้หรือไม่ท่านผู้นี้เป็นใคร?”

ยมบาลท่านหนึ่งที่มักพูดคุยกับข้าตวาดเสียงดัง โดยปกติแล้วด้วยพลังวิญญาณอันไม่มากไม่น้อยของข้า และความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เหล่ายมบาลนี้มักเอ็นดูข้าเหมือนน้องชาย เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังเสมอ น้อยนักที่จะขึ้นเสียงตวาดเช่นนี้

“ข้าย่อมไม่รู้ว่าท่านผู้นี้คือใคร จึงได้ถามไถ่ไงเล่า”

ข้างุนงงยิ่ง เอ่ยออกไปด้วยความสงสัย

ยมบาลท่านนั้นทำหน้าเหมือนข้านั้นเกินเยียวยาแล้ว และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เสียงหัวเราะก้องกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นซะก่อน

“ข้าคือแม่ทัพสวรรค์ นามว่า ‘เยี่ยอวี่เซิงฝาน’ …”

 

 

:: ตำหนักนทีสีคราม ::

‘เราพบกัน ณ ตำหนักนทีสีคราม’

 

 

หวงเส้าเทียนเป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า อริยดาบผู้ถูกเรียกขานด้วยนามกร ‘เยี่ยอวี่เซิงฝาน’

 

ซ่างเสินท่านนี้เหยียบย่างไปที่ใดมักตามด้วยฝนเลือดคาวโลหิต และเป็นที่รู้กันดีว่านอกจากตำหนักกรมกองของทัพสวรรค์แล้ว ยามว่างเว้นไม่ได้พักประจำที่ตำหนักตนแต่อย่างใด ชอบแวะเวียนมายังปรโลกเสมอ

 

สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับท่านพญายม ‘อวี้เหวินโจว’ เป็นอย่างยิ่ง

 

ตำหนักหลานซีเก๋อแห่งนี้ จึงแทบเป็นตำหนักหลังที่สองของหวงเส้าเทียนไปโดยปริยาย

 

ไม่แปลกอันใดที่เวลามาเยี่ยมเยือนจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาเสมอ

 

หากเป็นสิ่งของก็ย่อมมิมีอันใดผิดแผก แต่คราวนี้กลับเป็นวิญญาณเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง

 

ข่าวสารจากสะพานสีครามมาเร็วยิ่ง จังหวะเดียวกับที่ท่านแม่ทัพสวรรค์หอบหิ้วเด็กหนุ่มผู้นั้นมาถึงหน้าโต๊ะทำงาน อวี้เหวินโจวก็ทราบความเป็นมาของร่างในอ้อมแขนสหายและเหตุการณ์บนสะพานเรียบร้อยแล้ว

 

เนื่องจากเป็นจิตวิญญาณที่ล่องลอยมาในแม่น้ำลืมเลือนกว่าพันปี แม้รูปกายจะก่อเกิดจากหิมะวสันต์อันเป็นปราณเทพบริสุทธิ์ แต่ไอหยินสะสมบนร่างวิญญาณของหลานเฉียวชุนเสวี่ยมากเกินไป เมื่อเข้าใกล้เทพเซียนชั้นสูงเป็นเวลานานย่อมทำให้พลังฝีมือหดหาย พาให้มือเท้าอ่อนแรง

 

ดังนั้นแล้ว ด้วยน้ำใจหรือนึกสนุกก็ไม่อาจรู้ สหายตนถึงได้หอบหิ้วเด็กคนนั้นมาถึงตำหนักหลานซีเก๋อด้วยตัวเอง

 

จริงๆ จะใช้คำว่าหิ้วก็ไม่ถูกนัก

 

ศีรษะของเด็กหนุ่มพิงซบกับแผ่นอก เรือนผมสีครามยาวสลวยเกาะเกี่ยวบนร่าง สองขาถูกอุ้มรวบ อาภรณ์สีขาวสะอาดราวหิมะแรกฤดูบางพลิ้ว แทบจะเหมือนหวงเส้าเทียนฉุดคร่าสาวน้อยบอบบางนางหนึ่งหนีมาหาเขาด้วยซ้ำ

 

อวี้เหวินโจวสำลักน้ำชา กระอักกระไออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยกมือปฏิเสธน้ำชาถ้วยที่สอง ก่อนสั่งผู้รับใช้ให้เตรียมห้องรับรองท่านแม่ทัพสวรรค์

 

แน่นอน… รวมถึงแขกในอ้อมแขนท่านแม่ทัพด้วย

 

หลานเฉียวชุนเสวี่ยลืมตาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาคู่สวยปรือปรอยคล้ายกับยังนอนไม่เต็มที่ แล้วฝืนบังคับตนให้ตื่นขึ้น

 

สิ่งแรกเห็นเป็นเพดานสีดำสนิท

 

“เป็นไงๆ ตกลงเด็กนี้เป็นอะไรเหรอเหวินโจว คุยกันยังไม่ทันรู้เรื่องดีเลย เจ้าหนูนี่มองหน้าข้าอยู่ดีๆ ก็เป็นลม คอพับคออ่อนไปเลย ดีว่าข้ามือไวฉวยไว้ทัน ไม่งั้นได้มีเลือดตกยางออกไปแล้ว นี่นี่นี่ ตกลงเป็นอะไรไป?”

 

“เส้าเทียน เจ้ากำลังจะทำให้เขาตื่น”

 

“โอ๊ะ! ไม่ทันแล้ว เหวินโจว …”

 

เปลือกตาบางกะพริบไหว ส่งให้ขนตาบางเต้นระริกราวผีเสื้อขยับปีก แตะต้องลงบนผิวแก้มนวล เป็นภาพที่งดงามละมุนละไมมากทีเดียว

 

น่าอัศจรรย์ … หิมะวสันต์ในปีนั้นสร้างสิ่งสวยงามได้ถึงเพียงนี้

 

ซ่างเสินทั้งสองเหลือบมองกันเล็กน้อย และเป็นฝ่ายท่านพญายมเอ่ยตัดบทออกมาก่อน ไม่ให้สหายพูดพล่ามออกนอกเรื่องไป

 

“เจ้าคือ… หลานเฉียวชุนเสวี่ยใช่หรือไม่?”

 

หลานเฉียวชุนเสวี่ยไม่เคยเจอท่านพญายมมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักท่านผู้นี้

 

เหล่ายมบาลแห่งปรโลกล้วนชื่นชมท่านเป็นอย่างยิ่ง ยามว่างเว้นจากการงานมักกล่าวถึงรูปโฉมงามเลิศล้ำเป็นหนึ่งไม่มีสอง เหนือกว่าบุปผาใดมนแดนวสันตกางที่มิมีวันร่วงโรย ยิ่งกว่าเทพเซียนหญิงนางใดแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

ดวงตาสีฟ้าอ่อนจางใสกระจ่างราววารี เส้นผมสีดำขลับเงางามดั่งขนกา ผิวขาวเนียนลออเหมือนหยกขาวเนื้อดี

 

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ไพเราะ เสนาะหู คลิเคล้า ยามเอื้อนเอ่ยริมฝีปากสีแดงระเรื่อนั้นดั่งกลีบบุปผาขยับไหว

 

ท่านพญายม ‘อวี้เหวินโจว’ มักสวมใส่อาภรณ์สีดำเข้มเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมของท่าน เครื่องทรงล้วนเป็นเครื่องเงินประดับมุกมณีรัตนชาติ สีฟ้า สีน้ำเงิน คล้ายนัยน์ตาของท่าน

 

เช่นนั้นแล้ว

 

คนงามผมดำ เจ้าของใบหน้างดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาผู้นี้ คงเป็นท่านพญายมอย่างแน่นอน

 

“เจ้าคือ… หลานเฉียวชุนเสวี่ยใช่หรือไม่?”

 

เจ้าของนามพยักหน้าตอบ ปฏิกิริยาเชื่องช้าไปบ้าง เป็นที่เข้าใจได้ว่ายังคงงุนงงอยู่

 

ยามตรวจดูเด็กคนนี้ จึงได้รู้ในที่สุดว่าเหตุใด สหายถึงหอบหิ้วมาให้ดูแล ด้วยไอหยินมากมายของร่างวิญญาณนี้

 

หากจะแก้ไขไม่มีผู้ใดในสามภพแจ่มแจ้งไปกว่าตน ผู้อาบเอิบไปด้วยไอหยินทั้งร่างอีกแล้ว

 

อวี้เหวินโจวถอนหายใจบาง ใคร่ครวญสาเหตุดูแล้ว คงไม่พ้นไอหยางอันพลุ่งพล่านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของท่านแม่ทัพสวรรค์ผู้นี้ ปะทะเข้ากับไอหยินอันอ่อนด้อยของเด็กหนุ่ม เพียงสนทนากันไม่กี่คำก็เป็นลม ล้มพับสิ้นเรี่ยวแรงเสียแล้ว

 

ท่านพญายมอดสงสารเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงวิญญาณดวงน้อย มิได้สลักสำคัญอันใดกับปรโลก แต่เหล่ายมบาลใต้บังคับบัญชาเขาก็ล้วนรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง มาล้มป่วยเช่นนี้ ซ้ำยังมาจากสหายตน จึงรู้สึกผิด อยากจะช่วยเหลือตอบแทนขึ้นมา

 

“หลานเฉียวชุนเสวี่ย เจ้าปรารถนาสิ่งใด”

 

“ข้าอยากอยู่… กับท่าน”

 

อวี้เหวินโจวทำหน้าพิกล ฟังความจากเหล่ายมบาลรับใช้เด็กหนุ่มผู้นี้วิ่งไล่ตามสหายตน หวงเส้าเทียนมิใช่เหรอ?

 

“เจ้าพูดให้ชัดเจน หากเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ย่อมไม่แชเชือนเจ้า”

 

“ข้าอยากอยู่กับท่านพญายม”

 

เงียบ… ในตำหนักหลานซีเก๋อสิ้นสรรพเสียงใด มีเพียงเสียงหัวเราะของหวงเส้าเทียนที่ดังก้องกังวาน

 

เด็กหนุ่มไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากมาย

 

จริงอยู่เขาไล่ตามแสงสีเงิน… ท่านแม่ทัพสวรรค์ แต่เมื่อพบเจอกลับไม่สบายกาย ใจปรารถนาพูดคุย แต่ร่างกายกลับตรงข้าม รู้สึกตัวอีกทีเขาก็เป็นภาระให้ท่านแม่ทัพหอบหิ้วเสียแล้ว

 

ท่ามกลางสติอันเลือนราง ยามฝ่ามือนุ่มนวลคู่หนึ่ง วางจับแตะต้องลงมา เขารู้สึกสบายกายเป็นอย่างยิ่ง ลืมตาตื่นมาสัมผัสกับกลิ่นไอของท่านผู้นี้ข้างตัวยิ่งปลอดโปร่ง

 

หากถามว่าอยากอยู่กับผู้ใด แม้ใจหมายติดตามท่านแม่ทัพ แต่หลานเฉียวชุนเสวี่ยตระหนักว่าตนคงเป็นภาระมากกว่า เลือกอยู่กับท่านพญายมและเหล่ายมบาลที่คุ้นเคยเช่นเดิม สบายอกสบายใจกว่าแน่นอน

 

ท่านแม่ทัพสวรรค์หัวเราะตัวงอ แทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นตำหนักเสียด้วยซ้ำ

 

ใบหน้าหนึ่งซื่อใสไร้เดียงสาพูดตอบอย่างหนักแน่นมั่นคง

 

อีกใบหน้าหนึ่ง แข็งทื่อ ประหลาดได้เท่าใดก็พิกลได้เท่านั้น ดีที่ใบหน้าดวงนี้ของสหายตน งามเลิศล้ำเหนือผู้ใด จึงไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัว แต่ตลกขบขันเสียมากกว่า

 

หลายร้อยหลายพันปี นอกจากถ้อยคำของมหาเทพบรรพกาล ‘เทพมังกร’ ผู้นั้น น้อยครั้งนักที่อวี้เหวินโจวจะเสียกิริยาเล่นนี้

 

นับว่าคิดถูกแล้วที่หอบหิ้วเด็กหนุ่มผู้นี้มาเป็นของฝาก ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ

 

“เจ้าพูดแล้วน่ะเหวินโจว ห้ามคืนคำล่ะ”

 

หวงเส้าเทียนสนุกสนานกับใบหน้าปั้นยากของสหายเป็นอย่างมาก

 

ฉวยโอกาสที่เจ้าตัวนั่งลูบหน้า นิ่งอึ้ง จับยกร่างเพรียวบางของเจ้าของตำหนักวางไว้ที่มุมหนึ่ง แล้วนั่งลงสนทนากับหลานเฉียวชุนเสวี่ยที่ยังคงจับต้นชนปลายมองซ่างเสินท่านทั้งสองด้วยสายตางุนงงสงสัย

 

คราวนี้ ไม่มีการเป็นลมล้มพับไปกลางบทสนทนาอีกแต่อย่างใด

 

ผ่านไปหลายชั่วยาม ได้เวลาท่านพญายมกลับไปสะสางงานประจำวันและท่านแม่ทัพสวรรค์โดนเรียกตัวจากเทียนจวิน ประมุขแห่งปวงเทพให้ไปรายงานผลการรบครั้งล่าสุด จึงได้แยกย้ายกันไป

 

ด้วยเหตุนี้ แม้จะที่มาที่ไปจะแปลกประหลาดและเกิดเหตุชวนหัวไปสักหน่อย ตำหนักหลานซีเก๋อก็มีเด็กรับใช้ข้างกายท่านพญายมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตน

 

 

:: เมฆาล่องลอย ::

‘พวกเราล้วนไล่ตามเมฆาล่องลอย’

 

 

ตำหนักหลานซีเก๋อแห่งปรโลกนั้น บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เหล่าเทพเซียนน้อยใหญ่ต่างเรียกขานกันอย่างลับๆ ว่า

‘ตำหนักในของแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝาน’

ว่ากันด้วยศักดิ์ตำแหน่งแล้ว เรื่องนินทาเหลวไหลเช่นนี้ ถือว่าดูหมิ่นเกียรติของซ่างเสินทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยอายุอานามหลายหมื่นปีเข้าไปแล้วของทั้งคู่ กลับไม่ตบแต่งสนมชายาใดเข้าตำหนักตนสักที

พฤติกรรมซ่างเสินสองท่านนั้นเล่า

ท่านแม่ทัพหนุ่มวนเวียนไปหาท่านพญายมทุกคราวหลังกรำศึกเสร็จสิ้น ประหนึ่งสามีหนุ่มกลับบ้านไปหาภรรยาสาวหลังเลิกงานก็มิปาน และท่านผู้นั้นเองก็มิได้ห้ามปรามจริงจัง ต้อนรับสหายหนุ่มเป็นอย่างดี ถึงขั้นมีห้องหับเฉพาะไว้รับรองเสียด้วยซ้ำ

ประกอบกับความสง่างามชวนฝัน ยามสงบปากสงบคำของท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานและรูปโฉมงดงามเลิศล้ำเป็นหนึ่งไม่มีสองของท่านพญายม

เรื่องที่เล่าลือกันมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่านทั้งสองเป็นต้วนซิ่ว* มีใจผูกสมัครรักใคร่กัน แต่ด้วยศักดิ์ฐานะและหน้าที่แล้ว

ท่านแม่ทัพมิอาจยกเกี้ยวเจ้าสาว ตบแต่งท่านพญายมเข้าตำหนักหลานอวี่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้อย่างถูกต้องตามธรรมเนียม

ใส่สีตีไข่กันสนุกสนาน เอิกเกริกเป็นที่รู้กันทั่ว เทียนจวินเองก็คร้านจะห้ามปรามลงทัณฑ์ เพราะหนึ่งในนั้นมีมหาเทพบรรพกาล ท่านเทพมังกรอัคคี ‘เยี่ยซิวซ่างเสิน’ ท่านนั้นร่วมวงด้วย อายุกี่แสนปีเข้าไปแล้ว มิมีใครทราบ แต่กลับเข้าร่วมเพิ่มเชื้อไฟให้สองสหายสนิทด้วยความยินดียิ่ง

ท้าวความสืบไปถึงสงครามเทพมารสมัยบรรพกาล ยุคที่ซ่างเสินสองท่านนั้นเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ร่วมกัน ก่อเกิดเป็นตำนานรักเหนือภพขึ้นมาบทหนึ่ง

หากจินตนาจะเพริศแพร้วปานใด ก็มิมีผู้ใดขวัญกล้าเทียมฟ้า เล่าลือไปจนถึงหูตาของท่านทั้งสอง

เรื่องเล่าลือจึงเป็นเพียงเสียงนินทา หาได้มีผู้ใดนำมาใส่ใจ

กระทั้งเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น เล่นเอาสะท้านสะเทือน เลือนลั่นไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเลยทีเดียว

เด็กน้อยผู้หนึ่ง ผมสีฟ้าครามเข้ม ตาสีเดียวกับเส้นผม วิ่งเล่นอยู่ในสวนของตำหนักหลานซีเก๋อ

แรกเริ่ม ข้ารับใช้ในตำหนักคิดว่าเป็นวิญญาณเด็กหรือเทพเซียนน้อยตนไหนนึกสนุก จึงวิ่งไล่จับกันเป็นพัลวัน มิได้รายงานแก่ท่านพญายม ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แต่จนแล้วจนเล่าก็ตามจับกันไม่ได้สักที จึงจำต้องรายงานขึ้นไป

คิ้วเรียวสวยของท่านพญายม ขมวดหม่น ใบหน้าดำคล้ำคล้ายเวลาท่านสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ยังไม่ทันให้ท่านวางพู่กัน รามือจากการสะสางงานที่เหมือนไม่จบไม่สิ้นของปรโลก เสียงทักทายดังฟ้าผ่าก็พลันเรียกความสนใจทุกผู้นามในห้องก่อน

แขกประจำของตำหนักหลานซีเก๋อ ‘ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝาน’ นั้นเอง

ไม่เพียงนั่งลงฟังอย่างใส่ใจ ยังโบกมือให้ท่านพญายมทำงานของตัวเองต่อไป แล้วรับเอาปัญหาของพวกเขามาดูแลเอง

เหล่ายมบาลและข้ารับใช้ที่วิ่งวุ่นกันมาหลายวันซาบซึ้งน้ำตาริน ไม่คิดไม่ฝันว่าท่านแม่ทัพจะจิตใจดีเพียงนี้

หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวแค่ชื่นชอบเรื่องสนุกเท่านั้นเอง

“เพ้ยเพ้ยเพ้ย เจ้าหนูนั่นเป็นเมฆลอย(หลิวหยุน) หรือไง แว่บตรงโน้น โผล่ตรงนี้!! อย่าให้เกอจับได้น่ะ พ่อจะเอามาลองคมปิงอวี่ให้สาแก่ใจ อย่าหาว่าเกอรังแกเด็กก็แล้วกัน!!

เจ้าเมฆลอย! เจ้าเมฆลอยตัวดี!!”

ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนั้น

การไล่จับอันยาวนานระหว่างท่านแม่ทัพกับเซียนเมฆมงคลน้อย จบลงด้วยการมาถึงของท่านพญายมคนงาม

ร่างปราดเปรียวที่วิ่งไปทางโน้น แว่บไปมาทางนั้น พลันเปลี่ยนทิศทางไปหาร่างสูงโปร่งเจ้าของตำหนักหลานซีเก๋อ

อวี้เหวินโจวนั่น มีพลังฝีมือและปราณเทพระดับซ่างเสิน แต่ในเรื่องที่อ่อนด้อยที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาคือความเร็ว

เมื่อถูกพุ่งเข้าเช่นนี้ ไม่อาจต่อต้านขัดขืนได้เลย

นั่นคือสำหรับอวี้เหวินโจว ไม่ใช่กับหวงเส้าเทียน

แม่ทัพสวรรค์แห่งเก้าชั้นฟ้า ดีดตัวพุ่งตามติดและเร็วกว่าเสินจวินน้อยไปหนึ่งก้าว คว้าร่างสูงโปร่งของท่านพญายมจากรัศมีการพุ่งตัวของเมฆมงคลน้อยไป แต่ตัวเองกลับไม่รอดพ้นมือคู่นั้น

“ท่านพ่อ!!”

คำเรียกนี้ เอ่ยออกไปแล้ว ทรงพลังยิ่งกว่าอสนีบาตซึ่งพุ่งผลาญขุนเขาหม่นไหม้เป็นเถ้าธุลีเสียอีก

ท่านพญายมแห่งปรโลกทราบในตอนนั้นเองว่า ‘สังหรณ์ไม่ดี’ ครั้งได้ยินเรื่องราววุ่นวายในตำหนักหลานซีเก๋อคือเสินจวินน้อยตนนี้นำพามานี่เอง

สหายสนิทปล่อยมือจากการเกาะกุมท่อนแขนตน แล้วหันไปถกเถียงกับเสินจวินตัวน้อยแทนแล้ว

ดูท่าจากหูตามากมายในตำหนักหลานซีเก๋อแห่งนี้ ข่าวคราวของเซียนน้อยตนนี้คงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ความเป็นจริงเป็นเช่นไร คงยากจะสืบสาวอธิบายหรือต่อให้ป่าวประกาศก็ยากนักที่จะบังคับให้เชื่อถือกันได้

สรวงสรรค์เก้าชั้นฟ้าและปรโลก ขาดแคลนเรื่องทำนองสายลมจันทรา*** มาเนิ่นนานเกินไปแล้วจริงๆ จึงได้ขยันปั้นแต่งชีวิตอันเรียบง่ายของพวกตนถึงเพียงนี้

หลิวหยุนเป็นเสินจวิน(เทพเซียนน้อย)ที่กำเนิดมาในตำหนักหลานซีเก๋อ ครอบครองไอหยินขั้นสุดของท่านพญายมและไอหยางขั้นสูงของท่านแม่ทัพ

เมื่อเป็นเทพเซียนแต่กำเนิดจึงไม่รู้จักความหิวโหยหรือเหน็ดเหนื่อยเท่าใด ลำพังไอหยินที่อบอวลในตำหนักแห่งนี้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

หากจะถามว่าที่มาของเขาเป็นเช่นไร คำเรียกขานที่แม่ทัพสวรรค์กำลังตะโกนกร้าวอยู่ตอนนี้ก็นับว่าใกล้เคียง

เนื่องจากตัวตนของเขานั้นเกิดจากท่านพญายม ‘อวี้เหวินโจว’ แบ่งปราณเทพให้เมฆมงคลก้อนหนึ่ง ให้เป็นพาหนะของแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานใช้ยามเดินทางมาปรโลก

เมื่อมีไอหยินของผู้อาบเอิบไอหยินมากที่สุดในสามภพ ณ ดินแดนปรโลกย่อมเดินทางได้รวดเร็วมากกว่าเมฆมงคลอื่น ท่านแม่ทัพสวรรค์จึงชอบใช้งานเมฆก้อนนี้เป็นพิเศษ เลยได้ดูดซับปราณแม่ทัพสวรรค์ไปด้วยอีกคนโดยปริยาย

จะกล่าวว่าเป็นบุตรของสองคนนี้ก็ไม่ผิดนัก

แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกันกับความเข้าใจเหล่าเทพเซียนมุงบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ซึ่งได้จินตนาการไปถึงขั้นว่าท่านพญายมกับท่านแม่ทัพมีการผสานซวงซิว**เนิ่นนานหลายพันปี พระโพธิสัตว์เห็นใจในรักมั่นมิสั่นคลอนของซ่างเสินทั้งสองท่าน จึงมอบบุตรให้

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ที่มีประจักษ์เป็นเสินจวินตัวน้อย ที่ไม่เพียงมีไอหยินและหยางของท่านแม่ทัพกับท่านพญายม ยังมีเค้าหน้ารูปกายผสมผสานกับทั้งสองท่านไปอีก

คราวนี้ต่อให้เรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไร เหล่าเทพเซียนและเหล่ายมบาล แดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจรดขอบเขตแดนปรโลก ล้วนแล้วแต่ปักใจเชื่อไปแล้วว่าซ่างเสินทั้งสองนั้นมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างแน่นอน!!

 

 

[จบ?]

*ต้วนซิ่ว ชายรักชาย
** ซวงซิว ร่วมฝึกวิชาเป็นคู่ ความหมายโดยนัย ร่วมรักกัน
*** สายลมจันทรา เรื่องรักๆ ใคร่ๆ

ขอยกยอดหลิวหยุนเจอหลานเฉียวไว้ตอนหน้า(ถ้าได้เขียนต่อนะคะ)