花咲く少女 Hana saku Shoujo [10]

花咲く少女

Hana saku Shoujo

 

-10-

ก้าวที่หนึ่ง…เอเลนรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัวกว่าที่เคยเป็น

ก้าวที่สอง…เธอรู้สึกเหนื่อยจนต้องหยุดเดิน

ก้าวที่สาม…เธอย่อตัวลงเล็กน้อย โดยเข่าทั้งสองข้างถูกฝ่ามือยันเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม

และในที่สุด…เธอก็นั่งลงที่พื้นแถวๆนั้น

เอเลนมองไปรอบด้านก่อนจะถอนหายใจออกมา วันนี้ที่นี่ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะหลายคนในหน่วยออกไปทำภารกิจ เธอได้ยินมาจากคุณฮันจิว่าคนในหน่วยสำรวจจำนวนหนึ่งได้ค้นพบหลักฐานสำคัญบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกไททัน หลักฐานชิ้นที่ว่าอยู่ห่างออกไปไกลจากที่นี่พอสมควร ดังนั้นจึงต้องใช้กำลังคนที่มากขึ้น

ปกติแล้วตรงโถงทางเดินมักจะมีผู้คนเดินไปเดินมาอยู่ทั้งวัน โดยเฉพาะคุณฮันจิที่มักจะชอบวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ที บางครั้งยังชอบตะโกนเสียงดังเวลาเกิดไอเดียใหม่ พอคุณฮันจิต้องออกไปทำภารกิจแล้วก็ทำให้ที่นี่เงียบเหงาไปโดยปริยาย

“ว่าไงเอเลน ช่วงนี้นายไม่สบายบ่อยนะ” เพื่อคนหนึ่งในหน่วยสำรวจเดินมาทักทายขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยไปไกล

“ก็…นิดหน่อย สงสัยเพราะสภาพอากาศล่ะมั้ง”

เอเลนไม่ได้โกหก ช่วงนี้เข้าสู่หน้าฝนแล้ว บรรยากาศรอบด้านรวมไปถึงสภาพแวดล้อมทุกอย่างกลายเป็นสีเทา มองไปบนฟ้าทีไรก็เห็นแต่ก้อนเมฆ…ก้อนเมฆ…และก้อนเมฆ ถ้าก้อนเมฆพวกนั้นหล่นลงมาทับพวกไททันจนหัวแบะก็ดีน่ะสิ

“ยังไงก็รักษาตัวด้วยล่ะ อีกไม่นานพวกเพื่อนๆนายที่อยู่ในกำแพงคงจะได้มาเจอนายที่นี่ ถ้าพวกนั้นมาแล้วเห็นนายตัวลีบเป็นกุ้งแห้งแบบนี้คงหัวเราะเยาะแหงๆ”

เอเลนได้แต่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก การที่ได้มาอยู่ที่นี่โดยถูกกันให้แยกออกห่างจากเพื่อนในกลุ่ม แถมยังไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้อีก มันกลายเป็นความเศร้าผสมหดหู่ที่ทำให้อยากถอนหายใจออกมาวันละสิบรอบ

ดูเหมือนผู้ที่เป็นฝ่ายเริ่มหยอกล้อจะรู้ตัวว่าทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกติดลบ จึงหัวเราะออกมากลบเกลื่อน

“เฮ้ๆ อย่าคิดมากน่า ถึงนายจะแห้งยังไงแต่ก็ยังสูงกว่าเจ้าอาร์มินมันนะ”

นั่นมันใช้คำปลอบที่ไหนกันเล่า!

“ถ้าอย่างนั้น…” อีกฝ่ายลดเสียงจนเหลือเพียงการกระซิบ “…ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวถ้าหัวหน้ารีไวกลับมาแล้วเจอฉันคุยกับนายล่ะก็…” มีการทำท่ามือปาดคอประกอบโยคแสนขนหัวลุกอีกต่างหาก

“เกี่ยวอะไรกับหัวหน้าด้วยล่ะ…” เอเลนทำหน้าตาสงสัย การที่เพื่อนในหน่วยจะมาคุยกับเธอมันเกี่ยวอะไรกับคนๆนั้นด้วย?

คราวนี้คู่สนทนาทำหน้าตาเหมือนเวลากินอาหารที่คุณฮันจิทำ “ก็…เอ่อ…ยังไงดีล่ะ มันก็พูดยากน่ะ”

เอเลนเริ่มรู้สึกว่าแรงกายได้กลับคืนมา เธอยืนขึ้นพร้อมจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายแล้วพยายามส่งสารแบบไร้เสียงไปว่า ถ้าไม่บอกนายตาย!’

แม้คนตรงหน้าจะดูลังเล แต่ท้ายที่สุดก็ยอมเปิดปาก “ก็หัวหน้ารีไวน่ะ…ห้ามไม่ให้พวกฉันเข้าไปคุยกับนายน่ะสิ”

“หา?”

“ฉันไม่ได้โกหกนะ นี่พูดจริงๆ”

“ทำไมเขาถึงต้องห้ามไม่ให้พวกนายเข้ามาคุยกับฉันด้วยล่ะ? พวกเราเป็นเพื่อนร่วมหน่วยสำรวจกันนะ”

“หัวหน้ารีไวบอกว่าคำสั่งของเขาถือเป็นที่สุด ห้ามสงสัยหรือถามอะไรทั้งสิ้น อ้อ…แต่เขาให้นายคุยกับหัวหน้าเออร์วินกับคุณฮันจิได้นะ”

เด็กสาวถอนหายใจออกมา พอเพื่อนของตนพูดแบบนั้นออกมาก็มีแต่ต้องทำใจเท่านั้น ถ้าหัวหน้ารีไวไม่อยากให้สงสัย…ก็ไม่ควรสงสัย ถ้าเขาไม่อยากให้ถาม…ก็ไม่ควรถาม หากสงสัยหรือถามหาเหตุผลก็อาจจะถูกโยนออกไปให้พวกไททันกินก็เป็นได้

แต่การที่ให้คุยได้แค่กับหัวหน้าเออร์วินกับคุณฮันจิ…มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ

เอเลนตบไหล่อีกฝ่ายพร้อมโบกมือลาเพื่อนที่แม้จะกลัวแต่ก็ยังอุตส่าห์สละเวลามาคุย ดูเหมือนหัวหน้ารีไวจะไปทำอะไรที่เกินความจำเป็นอีกแล้ว ตอนนี้เธอออกไปข้างนอกไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ซ้ำพวกเพื่อนๆยังถูกออกคำสั่งมาว่าไม่ให้เข้ามาคุยกับเธอ หัวหน้ารีไวเห็นเธอเป็นอะไรกันแน่…

นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป

อย่างวันนี้ที่เขาต้องออกไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ…ก็ยังไม่เห็นจะบอกเธอแม้แต่คำเดียว อย่างน้อยขอแค่มาบอกเธอว่าจะไปไหน ไปทำอะไร จะกลับตอนไหนก็ยังดี ไม่ใช่หายไปแบบนี้

ร่างกายทั้งหมดหยุดชะงัก เอเลนเริ่มทบทวนความคิดของตนตั้งแต่เริ่มต้น อยากให้บอก…อยากให้หัวหน้ารีไวมาคุยกับเธอ…อยากให้เขาสนใจ

นี่ไม่ใช่ว่าเธอทำตัวเหมือนภรรยาที่รอสามีกลับบ้านอยู่เหรอ!?

“เอเลน! มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงเนี่ย ฉันตามหาแทบแย่เลย”

เด็กสาวสะดุ้งเมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คุณฮันจิยืนอยู่ตรงหัวมุมทางเดิน ท่าทางเหนื่อยหอบนั่นแสดงว่าคงจะวิ่งตามหาเธอมานานพอสมควร

“ขะ ขอโทษครับ พอดีผมอยากออกมาเดินเล่นน่ะ”

อีกฝ่ายหัวเราะพร้อมโบกมือแสดงท่าทีว่าไม่เป็นไร “ไม่ต้องแสดงสีหน้าสำนึกผิดขนาดนั้นก็ได้ ฉันเห็นแล้วหมั่นเขี้ยวน่ะ” เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ยังเอื้อมมือมาดึงแก้มของเธอให้ยืดออก

“อะ โอ๊ย!” เอเลนคิดว่าแก้มของเธอคงจะแดงไปหมดแล้วแน่ๆ ก็คุณฮันจิแรงน้อยเสียเมื่อไหร่

“อ๊ะ จริงสิ…จะมัวแต่เล่นไม่ได้ เออร์วินให้มาตามน่ะ เห็นว่าอยากขอความเห็นเรื่องที่เกี่ยวกับไททัน”

“เกี่ยวกับไททัน? ผมไม่คิดว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้นะครับ” อย่าว่าแต่เรื่องไททันเลย เรื่องอื่นๆก็คงช่วยไม่ได้เหมือนกัน

“เอาน่าๆ มาด้วยกันเถอะ อย่างน้อยๆถ้าได้ไปเห็นสิ่งที่พวกเราเก็บมาได้วันนี้ก็อาจจะนึกอะไรออกก็ได้”

มือของเด็กสาวถูกจับเอาไว้อย่างแน่นราวกับอีกฝ่ายกลัวเธอจะหนี คนตรงหน้าดึงเธอตามไปโดยไม่ให้โอกาสโต้แย้งใดๆ เอเลนได้แต่ถอนหายใจกับความเอาใจของคนในหน่วยนี้

หัวหน้ารีไวกับคุณฮันจิก็เอาแต่ใจไม่แพ้กันล่ะน่า…

“มาแล้วเหรอเอเลน นั่งก่อนสิ”

พอคุณฮันจิผลักประตูห้องประชุมเข้าไป เอเลนก็เห็นคนในหน่วยหลายคนที่คุ้นเคยกันดีนั่งอยู่รอบๆโต๊ะที่มีกระดาษอยู่เต็มไปหมด ถ้าให้เดาก็คงเป็นแผนที่และกลยุทธ์ที่จะใช้ในการปราบไททัน

เธอก้มหัวให้หัวหน้าหน่วยเออร์วินเล็กน้อยก่อนจะรีบหลบตา เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอไม่อยากจ้องหน้าเขานานๆเลยหันไปคุยกับคนอื่นต่อ

ความจริงแล้วเธอไม่ได้โกรธหรือเกลียดหัวหน้าหน่วยเออร์วิน แต่พอเห็นหน้าเขาทีไรก็มักจะมีภาพเดิมๆผุดขึ้นมาในสมอง ภาพในวันนั้น…วันที่มือของเขาแนบชิดกับร่างกายของเธอ

คุณเออร์วินเป็นคนดี เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเป็นเพียงแค่ความผิดพลาด…ใช่…มันไม่มีอะไรเลย อีกฝ่ายก็แค่ทำไปตามสัญชาตญาณ

…ทว่าสัมผัสนั้นยังคงอยู่

ความอ่อนโยนที่เธอสัมผัสได้…ช่างแตกต่างใครอีกคน

“มาทำอะไรที่นี่?”

เอเลยสะดุ้งเป็นครั้งที่สองของวัน อาการเหม่อเลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูของผู้มาใหม่ เสียงที่ส่งคำถามมาไม่ได้ดังจนเป็นการตะโกนแบบคุณฮันจิแต่ราบเรียบและทรงพลัง แค่เพียงเท่านี้เธอก็รู้แล้วว่าคือใคร…

“หัวหน้ารีไว?”

“ใครให้นายมาที่นี่ ตอนนี้พวกฉันกำลังประชุมกันอยู่”

น้ำเสียงแข็งกระด้างและนัยน์ตาที่ส่อแววเอาเรื่องทำให้เอเลนตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กสาวกัดริมฝีปากเพื่อลดความตึงเครียดโดยอัตโนมัติ

ฮันจิที่นั่งอยู่ข้างๆเริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมคุกคามจึงพูดแทรก “นายนั่งลงก่อนได้ไหมรีไว มีอะไรก็ค่อยๆพูดกันสิ”

“แล้วทำไม… / ฉันเรียกเอเลนมาที่นี่เอง”

เออร์วินส่งเสียงดังแทรกขัดการสนทนาเมื่อเห็นว่าเรื่องราวตรงหน้าท่าทางจะไม่จบลงง่ายๆ เขาสังเกตว่าเด็กสาวมีท่าทางเหม่อลอยและดูอ่อนเพลียตั้งแต่ที่เข้ามาในห้องแล้ว การที่จะต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับรีไวอีกก็ไม่ใช่เรื่อง และการที่เขาเรียกเอเลนมาที่นี่ก็เพราะมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ

ถ้าให้เลือกเออร์วินก็อยากให้เอเลนอยู่แต่ในห้อง เพราะทุกอย่างรอบตัวดูจะอันตรายไปเสียหมดสำหรับเด็กสาวที่ปกปิดตัวตนที่แท้จริง ที่นี่มีแต่ผู้ชาย…ถ้านับฮันจิ จึงอาจเป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายได้ถ้าไม่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

เอเลนเองก็เหมือนจะดึงดูดให้ใครหลายคนเข้าไปหา เออร์วินสังเกตเห็นว่าสมาชิกหลายคนในหน่วยสำรวจอยากจะเข้าไปคุยด้วย แต่เพราะมีรีไวคอยส่งสายตากำราบอยู่เลยไม่ค่อยกล้านัก

เขาเองก็ไม่อยากให้ใครไปยุ่มย่ามกับเด็กสาวให้มากนัก ไม่ใช่เพราะอารมณ์ส่วนตัว…หากแต่อยากจะช่วยปกป้องและดูแลอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เนื่องจากเขาเองก็ถือว่าตนได้ทำความผิดต่อเด็กสาวเอาไว้ ซึ่งความผิดนั้นคงยากที่จะปล่อยผ่านไปได้

หัวหน้ารีไวไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างกระแทกกระทั้น ฮันจิรีบหันมากระซิบกระซาบกับเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อารมณ์บูดขนาดนี้ สงสัยว่าคืนนี้จะหนักหน่อยนะเอเลน”

เอเลนเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอีกครั้งกับคำพูดของคนข้างๆ…

“เอาล่ะ เริ่มประชุมกันเถอะ”

หัวหน้ารีไวกับคุณฮันจิดูจะสนิทกันมากกว่าที่เห็น เอเลนเห็นภาพที่หญิงสาวพูดอะไรตลกๆออกมาแต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ปกติแล้วหัวหน้ารีไวควรจะเดินหนีหรือไม่ก็ตวาดกลับไป แต่พอเป็นคุณฮันจิแล้วก็มีแต่การปิดปากเงียบพร้อมฟังเรื่องตลกนั่นต่อ

ความสัมพันธ์ของหัวหน้าหน่วยเออร์วิน หัวหน้ารีไว และผู้บังคับหมู่ฮันจิ ดูจะซับซ้อนมากกว่าที่เธอเห็น สำหรับหัวหน้าหน่วยเออร์วินนั้นเธอเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่สุด ทั้งยังมีงานให้ทำอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ค่อยได้เขาในมุมผ่อนคลายนัก แต่สำหรับหัวหน้ารีไวและคุณฮันจินั้น…เธอว่าพวกเขาสองคนแตกต่างออกไป

ทั้งสองคนไม่มีอะไรที่เหมือนกัน แค่นิสัยเจ้าอารมณ์ของหัวหน้ารีไวกับนิสัยร่าเริงจนเกินเหตุของคุณฮันจิก็ไม่น่าจะทำให้สองคนนี้อยู่ร่วมหน่วยเดียวกันได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเอเลนก็ยังเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ตอนคุณฮันจิทำการทดลอง…หัวหน้ารีไวก็จะยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล ส่วนตอนที่หัวหน้ารีไวกำลังฝึก…ก็จะเห็นคุณฮันจิส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้ๆ

ยิ่งแตกต่างก็ยิ่งดึงดูด

อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ที่ทำให้พวกเขายังคงอยู่ด้วยกัน…แม้จะทะเลาะกันทุกวันก็ตาม

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เอเลนก็รู้สึกปวดในอกด้านซ้าย หัวใจดูจะเต้นแรงขึ้น ทั้งๆที่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมพอมองภาพที่หัวหน้ารีไวกับคุณฮันจิกำลังคุยกันแล้วมันรู้สึกแปลกๆก็ไม่รู้…

เหมือนกับว่า… เธอกำลังอิจฉาทั้งคู่อยู่เลย

“ไง เอเลน”

เสียงเรียกดังมาก่อนเจ้าตัวจะมาถึง หญิงสาวโบกไม้โบกมือยิ้มร่า ก่อนจะเข้ามาตบไหล่ทักทายอย่างสนิทสนม และคงเป็นเพราะคิดอะไรหลายอย่างอยู่ เธอจึงสะดุ้งโดยแรง

“ฉันหนักมือเกินไปเหรอเอเลน? เจ็บมากมั้ย”

ฮันจิเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใหม่ แล้วถามอย่างเป็นห่วง             ดวงตาสีสีน้ำตาลอมแดงฉายแววกังวลจนเธอรู้สึกละอายแก่ใจที่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่คิดอะไรเพลินๆ อยู่… เลยตกใจนิดหน่อย”

ประโยคท้ายเบาเสียงลง เนื่องจากร่างของใครอีกคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยท่าทีหงุดหงิดเต็มแก่

“ยัยแว่นกระหายเลือด… ใครใช้ให้อู้งานกัน?”

หัวหน้ารีไวส่งเสียงสบถสั้นในลำคอ แล้วคว้าปกคอเสื้อของคุณฮันจิทำท่าจะลากไปทั้งอย่างนั้น

“เอ๋? ฉันเปล่าอู้นะรีไว แค่จะชวนเอเลนไปดูการทดลองเอง เปิดหูเปิดตาไง!”

หญิงสาวที่ห้อยหัวบนเงื้อมมือหัวหน้ารีไว แอบขยิบตาให้เธอ สายตาวิบวับเหมือนชวนกันไปชมสวนดูเครื่องประดับ มากกว่าไปดูการทดลองทางกายภาพกับไททันในลานหน้าปราสาท

“การทดลองโรคจิตของเธอมีใครเขาอยากดูกัน?”

ซึ่่งได้รับการดูแคลนจากปากของชายหนุ่มเพียงคนเดียวในตอนนี้ทันที ดวงตาสีเทาคมกริบตวัดจ้องอย่างน่ากลัว ดุจัดชนิดต่อให้เป็นใครก็คงต้องเกรงกันหัวหด

แต่ไม่ใช่กับผู้บังหมู่หญิงเดี่ยวแห่งทีมสำรวจ

“โฮ่ว โหดร้ายที่สุด! บอกว่าสิ่งที่ฉํนทำกับเรซซี่กับนีนี่โรคจิตได้ไง!”

ฮันจิโอดครวญและประท้วงขอความเป็นธรรมให้แก่ตัวเอง เป็นภาพที่เอน็จอนาถใจแก่ผู้พบเห็นไม่น้อย เพราะเจ้าตัวยังถูกหิ้วตัวลอยแท้ๆ (แต่ขาระพื้นเพราะสูงกว่าคนหิ้ว)

หากยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อปากต่อคำกับหัวหน้าทหารได้อย่างแรงดีไม่มีตก หรือหวาดกลัวอารมณ์เดือดกรุ่นของคนความอดทนต่ำสักนิด

โอ๊ยย รีไวน่ะนะ น่ากลัว ไม่หรอก ให้ฉันไปพูดกับเออร์วินยังน่าหวั่นกว่าเยอะ หมอนั่นแค่ปากเสียกับหน้าตาไม่รับแขกเท่านั้นแหละ

จู่ๆ คำพูดที่คุณฮันจิเคยบอกไว้ก็ดังก้องในหัว

นั่นสิ… เพราะสนิทกันมากและอยู่ด้วยกันมานาน เลยเข้าใจกันอย่างทะลุปุโปร่ง

เทียบกันกับเธอแล้ว ที่ไม่เคยเข้าใจหรือตามความคิดของหัวหน้าเลยสักอย่าง มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

เจ็บ… ความปวดร้าวที่อกข้างซ้ายทวีความรุนแรงขึ้นอีกแล้ว

ทั้งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือโดนโจมตีแท้ๆ แต่กลับเจ็บแปล๊บขึ้นมาเป็นระยะ ขอบตาเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่เริ่มไหลรินออกมาคลอหน่วย

เมื่อเห็นเอเลนเงียบไป คนที่เถียงกันสองคนจึงได้ฤกษ์หันกลับมา แต่ช้าไปเสียแล้ว

“ผม…คิดได้ว่าลืมเอาผ้าที่แช่ไว้มาซักน่ะครับ ขอตัวไปทำก่อน”

พูดเสร็จร่างสูงโปร่งของเด็กสาวผมสีน้ำตาลก็วิ่งจากไปโดยเร็ว ไม่คิดรอคำอนุญาตจากปากผู้บังคับบัญชาด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มมองตามร่างของเด็กสาวที่หายลับไปในป้อมปราสาทจนสุดสายตา โดยไม่เอ่ยคำพูดใดอีกเลย

“เด็กนั้นดูไม่ค่อยดีนะ จะไม่ตามไปเหรอนายน่ะ?”

เพื่อนสนิทเอ่ยถาม ในน้ำเสียงไม่มีการกระเซ้าเย้าแหย่ใด มีเพียงความเป็นห่วงจริงจัง

รีไวปากหนัก… ไม่ค่อยพูด เป็นพวกปากว่ามือถึง เอ๊ย เน้นการกระทำมากกว่าคำพูด

“การกระทำชัดเจนยังไง คำพูดก็สำคัญไม่ต่างกัน ฉันบอกก่อนเลยผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไงก็อยากได้คำว่า ‘รัก’ จากคนของตัวเองกันทั้งนั้น”

หัวหน้าทหารหรี่ตามอง

“ลอกมาจากหนังสือเล่มไหนล่ะ?”

ฮันจิกลอกตาสามที แล้วเบ้ปากใส่

“สักเล่มที่กองๆ อยู่! ฉันสรุปเป็นภาษาชาวบ้านล่ะกัน หัดพูดหวานๆ ซะบ้าง เด็กสาววัยนี้อ่อนไหวนะ”

คนโดนเทศน์ทอดสายตาไกลออกไป สุดปลายทางที่ดวงตาคู่นี้จับจ้องคือเงาร่างของเด็กสาวสีน้ำตาลเข้มที่กำลังผลุบๆโผล่ๆ ทางโน้นทีทางนี้ที เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากตนให้มาร่วมฝึกซ้อมหรือทำกิจกรรมอื่นใดนอกปราสาท เจ้าตัวเลยวิ่งวุ่นหางานให้ตัวเองทำแทน

“อยู่เฉยๆ ไม่เป็นสินะ”

“เด็กดีก็งี้ เอ็นดูมากๆ แต่อย่าทำให้เฉามือซะล่ะ”

ความหมายโดยนัยคืออย่าหักโหมหรือเอาเปรียบจากร่างกายสาวในเวลากลางค่ำกลางคืนให้มากนัก

“แล้วก็อีกอย่าง… ฉันพูดจริงนะ เรื่องที่เด็กนั่นดูไม่ค่อยดี จะตรวจละเอียดๆ ต้องพึ่งหมอที่ชำนาญการกว่านี้ไม่ใช่ฉัน”

ฮันจิปัดหญ้าที่ติดตามเนื้อตัวลวกๆ เอ่ยทิ้งท้ายไว้ แล้วเดินกลับไปยังลานทดลองแทน

รัก….งั้นเหรอ?

ความรู้สึกนึกรักมันก็เลื่อนลอยพอๆ กับคำว่า ‘ตลอดกาล’ นั่นแหละ

รีไวคิด

ตอนนี้เขารู้เพียงว่าเด็กนั้นเป็นของของเขา เป็นของสำคัญที่ต้องแลกชีวิตปกป้อง

ยิ่งได้ครอบครองยิ่งปรารถนาให้มันลึกซึ้งผูกพันธ์

เขาไม่เชื่อมั่นในคำว่า ‘รัก’ หรือ ‘ตลอดกาล’

ชีวิตที่ผ่านมาจะตายวันตายพรุ่งยังสุดจะรู้ สิ่งที่เขาทำก็แค่…

คว้าสุดมือ และเก็บรักษาของสำคัญที่ได้มาอย่างดีเท่านั้น และต่อให้ต้องพังทลายก็ต้องด้วยน้ำมือเขา หาใช่ใครอื่น

ไม่ดีเลยไม่ดีเลยจริงๆ

น้ำตาหยดลงบนผืนผ้้าเปียก และยังคงกลั้นตัวจากนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่งามร่วงรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย

เธอ… อิจฉาคุณฮันจิ อิจฉาที่สามารถยืนเคียงข้างหัวหน้ารีไวได้

อิจฉา…ที่สามารถเข้าอกเข้าใจคนคนนั้นได้

ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือคำพูด… ราวกับมีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างคนอื่นกับทั้งคู่ เส้นแบ่งของคนนอกและคนพิเศษ

ไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้ ทั้งที่แค่เรื่องทั้งหมดในตอนนี้ก็เป็นยิ่งกว่าฝันสำหรับเธอที่ในอดีตได้แต่เฝ้ามองหัวหน้ารีไวไกลๆ เท่านั้น

ตอนนี้ได้ผูกพัน… เป็นคู่ชีวิตแท้ๆ

แต่เธอกลับเจ็บปวด… และปวดร้าวมากขึ้นทุกที

เอเลนคิดถึงสมัยเด็ก ครั้งที่ยังอยู่เขตชิกันชินะ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่มารอยลโฉม ‘ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดขอมนุษยชาติ’ มือเล็กๆ เอื้อมไปยังคนที่ห่างไกลเหลือเกิน

อยากมีปีก… ปีกแห่งเสรีภาพที่จะกางบินไปนอกกำแพงเช่นคนคนนั้น

ความคิดในตอนนั้นช่างไร้เดียงสาและใสบริสุทธิ์เหลือเกิน

แต่ตอนนี้… เธอไม่อาจทำได้อีกแล้ว

พอได้มาก็ยิ่งหวังถึงสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปอีกขัั้น

และในยามนี้… หัวใจของเธอก็เหมือนกับจะห่างไกลมากขึ้นทุกที

ความอิจฉาที่สุมแน่นในอกข้างซ้่ายจนเจ็บร้าวนี้…

เธอจะกดมันไว้…. เก็บให้จมลึก และมีเพียงตัวเองที่ล่วงรู้

花咲く少女 Hana saku Shoujo [9]

花咲く少女

Hana saku Shoujo

 

-9-

 

 

เอเลนแทบจะอยากมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงในห้องของตัวเอง ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากจะพบใครทั้งนั้น ต่อให้ตอนนี้มีไททันบุกมาก็ขอนอนนิ่งๆให้พวกมันฆ่าก็ยังจะสบายใจกว่าเสียอีก

 

ก็ใครใช้ให้หัวหน้ารีไวทำกับเธอแบบนั้นกันล่ะ!

 

ประสบการณ์พิลึกพิลั่นที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกตอนที่หัวหน้ารีไวพาไปขี่ม้าเมื่อสามวันก่อนนั้นทำให้ต้องม้วนผ้าห่มเข้าหาตัวแน่นขึ้น จนตัวเธอในตอนนี้แทบจะกลายเป็นดักแด้อยู่แล้ว

 

ถึงจะผ่านมาสามวันแล้วก็ตาม เอเลนรู้สึกว่าทำยังไงก็ไม่สามารถสลัดมันหลุดออกจากหัวไปได้เลย

 

เวลาที่ต้องสบตากับหัวหน้ารีไวทีไร…ก็รู้สึกเหมือนหน้าร้อนจนจะระเบิดออกมา

 

จะเป็นที่ไหนก็คงไม่แปลก…แต่ทำไมต้องทำตอนนี้ขี่ม้าด้วยก็ไม่รู้

 

เอเลนยอมรับว่าในเวลานั้นตัวเธอเองก็ค่อนข้าง…ตื่นเต้น…แต่มันดันแปลกประหลาดเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง

 

…ทว่าไอ้สิ่งที่จินตนาการไม่ถึงมันดันมาเกิดขึ้นกับตัวเองซะอย่างนั้น เธอถึงแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี

 

แรงสั่นสะเทือนจากการวิ่งของม้า ช่วงต้นขาที่เปลือยเปล่าจนเสียดสีกับขนบนลำตัวของทั้งสัตว์ที่เป็นพาหนะและคนที่นั่งซ้อนหลัง ทั้งยังมีการกระเด้งกระดอนขึ้นลงจน…จน…ขนของม้าตัวนั้นเปื้อนไปหมด

 

คิดมาถึงตรงนี้เอเลนก็ฝังหน้าลงกับหมอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก

 

วันนี้เธอรู้สึกเวียนหัวแบบแปลกๆ แถมเมื่อวานตอนอยู่บนหลังม้าก็มีช่วงเวลาที่เวียนหัวเล็กน้อย ทั้งๆที่เมื่อก่อนตอนเธอขี่ม้าไปทำภารกิจก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้

 

สงสัยจะโดนคุณฮันจิดุอีกแล้วแน่ๆที่ไปฝืนร่างกายซะขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย หัวหน้ารีไวต่างหากล่ะที่ทำอะไรไม่บอกกันล่วงหน้า…

 

…แต่ถึงบอกล่วงหน้ายังไงก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว

 

เอเลนลุกขึ้นนั่งพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่อีกไม่นานแสงยามเช้าก็คงมาเยือน

 

เด็กสาวเอามือวางทาบลงบนท้องน้อยก่อนจะเหม่อลอยไปไกล เหตุการณ์เมื่อวานดูจะแตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย

 

เธอรู้สึกว่าหัวหน้ารีไว…เข้ามาลึกขึ้น…แถมน่าจะ…ปล่อยเข้ามาได้ลึกกว่าเดิม

 

จะอธิบายยังไงดีล่ะ เพราะเอเลนก็ไม่คิดว่าตัวเองเข้าใจมันนัก แต่การที่เธอต้องนั่งเกร็งบนหลังม้าให้ได้ตำแหน่งดีที่สุดทำให้ทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว

 

เธอไม่ใช่คนซื่อขนาดที่ไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะเกิดอะไรตามมา หัวหน้ารีไวกับเธอกลายเป็นคนๆเดียวกันตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

 

เอเลนเห็นสายตาของหัวหน้ารีไวที่มองเธอขณะที่กำลังเร่งจังหวะร่างกาย ไม่ว่าจะครั้งก่อน ครั้งหลัง หรือครั้งไหนๆ เธอได้รับการสื่อข้อความทางสายตาว่า…เขาอยากจะเห็น ‘ผลงาน’ จากสิ่งที่ทำอยู่

 

หัวหน้ายังคงเป็นผู้บัญชาการแม้ไม่ได้อยู่ระหว่างการปฏิหน้าที่ในหน่วย เขายังคงออกคำสั่งกับเธอถึงจะอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนโดยปราศจากเครื่องแต่งกายบนตัว

 

คำสั่งนั้นคือการให้เธอใต้การควบคุมของเขา ต้องเคลื่อนไหวไปตามการชักนำ ต้องตอบรับยามอีกฝ่ายมีความต้องการ ต้องร้องไห้เมื่อโดนทรมาน ต้องร้องครางเมื่อมีความสุข และต้องยอมเปิดประตูปราการให้ผู้บุกรุกฝ่าเข้ามาอย่างสมบูรณ์โดยไร้การป้องกัน

 

มีหลายครั้งที่เอเลนพยายามขืนตัวเพื่อจะถอยห่างเมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุด แต่หัวหน้าจะล็อคกลางลำตัวของเธอไว้แน่น และจะส่งแรงเข้ามาด้านในมากกว่าเดิมจนเจ็บ ในที่สุดทุกอย่างก็จะจบลงแบบเดิม…เป็นอีกครั้งที่เธอต้องรับทุกอย่างของอีกฝ่ายเข้ามา

 

เอเลนไม่ได้รังเกียจสิ่งเหล่านี้ แต่เธอยังคงไม่เข้าใจว่าหัวหน้ามีเหตุผลอะไร

 

หัวหน้าเหมือนจะอ่อนโยน แต่ก็แข็งกร้าว ไม่ผ่อนปรนแม้เธอจะร้องไห้ ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาเรื่อยๆหลังการกระทำทุกอย่างจบลงก็ไม่เคยหายได้ภายในวันเดียว

 

…ทว่าสุดท้ายก็เป็นเธอเองที่เป็นฝ่ายยอมสยบให้เรื่อยไป

 

ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเวียนหัว แถมยังพะอืดพะอมเป็นพักๆ ลำไส้บิดตัวเหมือนต้องการเอาทุกอย่างในกระเพาะออกมา

 

สงสัยช่วงนี้เธอจะกินอาหารไม่ค่อยตรงเวลา เลยเกิดอาการแปลกๆตลอด แต่ยังไงก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะกลัวจะไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก

 

เรื่องเหตุผลของหัวหน้าน่ะ…เอาไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน

 

 

“ทำไมหมู่นี้กินน้อยจังเลยล่ะเอเลน?”

 

เด็กสาวในคราบผู้ชายที่กำลังวางจานอาหารลงบนโต๊ะหยุดชะงักไปก่อนจะมองในจานของตน

 

ขนมปังครึ่งก้อนก้บน้ำซุป

 

ก็ปกติดีนี่นา

 

“…หรือซุปของฉันไม่อร่อย?” หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยว

 

“มะ ไม่ใช่นะครับ ผมแค่ไม่ค่อยหิว”

 

“อย่างนี้นี่เอง…ค่อยโล่งใจหน่อย ก็นี่น่ะสูตรพิเศษที่ฉันใช้เวลาค้นคว้าตั้งหลายวัน ฉันมั่นใจว่ามันต้องอร่อยแน่ๆ”

 

เอเลนหันซ้ายทีขวาทีมองไปยังเจ้าของสูตรที่แสดงสีหน้ามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม กับหัวหน้าเออร์วินที่จงใจเงียบ แต่สายตาของคนเป็นผู้บัญชาการกลับพยายามกลบความสงสัยเอาไว้ว่าถ้ามันอร่อยนัก ทำไมคนทำถึงไม่ตักมากินด้วยกัน

 

ใครๆต่างก็รู้ถึงฝีมือการทำอาหารที่…เอ่อ…ค่อนข้างแย่ของคุณฮันจิ บางทีอาจจะแย่ที่สุดในหน่วยสำรวจแล้วก็ได้

 

วันนี้เป็นเวรของคุณฮันจิที่ต้องทำอาหารเช้า ดังนั้นถ้าใครที่พอจะมีฝีมือในการล่าสัตว์ก็ยังพอจะอ้างได้ว่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายก่อนฝึก ถึงจริงๆแล้วจะออกไปล่ากระต่ายมาย่างกินแทนเจ้าซุปนี่ก็เถอะ

 

…แต่เอเลนคิดว่าถ้าตัวเธอที่ร่างกายมีอาการแปลกๆออกไปล่าสัตว์ตอนนี้ อาจจะกลายเป็นอาหารสัตว์แทนก็ได้

 

และยังไม่ทันขาดคำก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที

กลิ่นสาปสางบางอย่างทำให้แทบขย้อนของกินอันน้อยนิดที่เพิ่งลงท้องไปออกมา

 

“ขะ..ขอตัวนะครับ!”

 

เด็กสาวลุกพรวดพราดออกไปด้วยสีหน้าไม่ดีนัก พร้อมกับมือที่ปิดปากแน่นอย่างกลัวอาเจียนออกมาให้เลอะเทอะและเดือดร้อนคนอื่น

 

ฮันจิลุกตามทันที แต่ช้ากว่าหัวหน้าเออร์วินที่ถลาตามไปแล้ว ร้อนให้เพื่อนสาวต้องดึง… ไม่สิ ออกแรงกระชากแล้วกดไหล่เจ้าตัวไว้

 

“ฉันไปเองดีกว่า นายนั่งเถอะ”

หญิงสาวว่า พลางมองสำรวจสภาพโดยรอบก่อนก้าวเดินตามร่างบางที่วิ่งนำไปไกลพอสมควรแล้ว

 

…ปลายหางตาเห็นซากกระต่ายและสัตว์ตัวอื่นที่พอหิ้วหาจับได้ไม่ยากเย็นเท่านี้ในมือของทหารคนอื่น….

 

กลิ่นเครื่องเทศที่กำลังเตรียมพร้อมในห้องครัว กลิ่นของคาวเลือดจากสัตว์เพิ่งล่าใหม่

 

ทั้งที่คุ้นชินจนไม่น่ารู้สึกอะไรกับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมปกติเช่นที่ดำเนินเป็นกิจวัตรมาตลอด หากเอเลนกลับมีปฏิกิริยาต่อต้านแทบจะในทันที

 

แปลก… แปลกเกินไป

 

หรือว่าสิ่งที่เธอออกปากล้อเลียนไปครั้งที่เอเลนล้มลงหมดสติคราวนั้นจะเป็นเรื่องจริงกันนะ?

 

คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ตอนนี้รีบตามไปดูอาการของอีกฝ่ายให้เห็นชัดไปเลยดีกว่า เพราะถ้าเป็น ‘อะไร’ ที่เธอคิดขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็… จะให้เด็กคนนั้นอยู่กับเจ้าคนคุ้มดีคุ้มร้าย แถมยั้งมือตัวเองไม่เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก

 

ท่อนแขนพาดไปกับขอบอ่างล้างหน้า พลางชักรอกให้น้ำที่เก็บไว้ไหลร่วงลงมา เด็กสาวสำลักกระอักกระไอและโก่งคออาเจียนอย่างหมดไส้หมดพุง

 

เศษอาหารปะปนไปกับน้ำสีเหลืองๆ ที่น่าจะเป็นน้ำย่อยในกระเพาะที่ตีขึ้นมา

 

ลำคอแสบร้อนด้วยความทรมาน ผลจากการที่น้ำย่อยไหลขึ้นมาตามทางเดินอาหารออกมา ในปากขมไปหมด แม้จะล้างคอ กลั้วปาก บังคับให้สำรอกอีกก็ไม่เป็นผล

 

หยดน้ำใสคลอปริ่มแทบจะรินร่วงจากดวงตาสีมรกต

 

….เอเลนสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาด….

 

ความรู้สึกวิงเวียน อ่อนแรง ไม่สามารถหยิบจับอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ความอยากอาหารที่ลดน้อยลง ความรู้สึกปั่นป่วนสับสน และไม่มั่นคง

 

เลือนราง…. สั่นไหว… และอ่อนแอ

 

เสียจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นตัวเอง รุมเร้าเข้ามาจนรู้สึกผิดแปลกจากเดิมไป หากยิ่งคิดยิ่งเวียนหัวหนักกว่าเก่า ส่งผลให้ต้องมาเกาะขอบอ่างและโก่งคออาเจียนเอาเป็นเอาตายอีกรอบ

 

ภาพที่คนเข้ามาเห็นรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ อดไม่ได้ที่จะดึงร่างเพรียวบางของเด็กสาวเข้ามาประคองไว้ และพยุงออกไปหาที่ที่สามารถให้เด็กคนนี้พักผ่อนได้

 

มือค่อนข้างหยาบกร้านกว่าหญิงสาวทั่วไป บรรจงเช็ดตามใบหน้าและไรผมชื้นเปียก

 

ใจจริงอยากจะให้หลับพักผ่อนให้มากๆ ไปซะเลย แต่อีกใจก็ต้องถามไถ่ให้รู้แน่ชัดถึงอาการอีกฝ่ายซะก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพพ์ร้ายๆ และจะได้คิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านี้ไปก่อน

 

“ฮะ… ฮัน คุณฮันจิ”

 

เสียงหอบพร่าอย่างโรยแรงแว่วแผ่ว ฉุดเธอจากสิ่งที่กำลังคิดอยู่ให้มาสนใจเด็กตรงหน้า และก็พบว่ามือตัวเองเช็ดเลยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

หญิงสาวเกาแก้ม แก้เก้อ ดูหมดมาดเสียจนเอเลนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

 

“อ๊ะ! จริงสิ… ฉันมีเรื่องจะถามเธอนี่นะ”

 

จู่ๆ ฮันจิก็โพล่งขึ้นมากะทันหัน เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ ฟังอีกฝ่ายถามไถ่อาการช่วงนี้ของตนเอง แล้วก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ประกอบกับความคิดเห็นส่วนตัว

 

หญิงสาวอายุมากกว่าเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากฟังจบ แล้วจึงกล่าวว่า

 

“น่าจะ…. เป็นอาการของคนแพ้ท้องเริ่มแรกน่ะนะ”

 

หัวใจหลุดวูบ ความรู้สึกวูบโหวงในอกตามมาแทบจะในทันที เอเลนคิดกังวลอยู่หลายเรื่อง แต่ลืมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นซะสนิท

 

และสิ่งที่กลัวมากที่สุดก็คือ… ปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ของหัวหน้ารีไว

 

“อันที่จริงก็ไม่แปลกอะไรอะนะ เพราะฟังๆ จากที่เธอเล่า หมอนั่นไม่เคยแม้แต่คิดจะป้องกันเลยนี่น่า กับเด็กในวัยเจริญพันธุ์แบบนี้ก็… อยู่แล้วล่ะ”

 

ผู้บังคับหมู่สาวพูดเสียงไม่ดัง แต่ไม่เบาเช่นกัน เป็นบทสนทนาที่คล้ายกับโต้ตอบกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเธอ หากประโยคต่อมากลับทำให้เธอไม่อาจนั่งเฉยฟังได้อีกต่อไป

 

“แต่ถึงจะเป็นยังไง… อันดับแรกก็ต้องบอกรีไวก่อนล่ะนะ”

 

“ไม่ได้นะครับ!!”

 

เอเลนตะโกนลั่น เล่นเอาหญิงสาวอายุมากกว่าสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบื้องหน้ากรอบแว่นแทบจะกลายร่างเป็นรูปตัวปรัศนีเลยทีเดียว

 

“ทำไมอะ?”

 

“ยัง…ยังไม่ต้องบอกดีกว่าครับ ช่วงนี้ทุกคนกำลังยุ่งๆ รอให้แน่ใจกว่านี้ค่อยบอกดีกว่า” เอเลนกล่าว

 

“ถ้าเธอว่างั้นก็ตามใจล่ะกันน่ะ แต่ยังไงก็ต้องบอกนะ!! ส่วนเรื่องอาการของเธอ เดี๋ยวฉันจะติดต่อหมอสักคนที่ปิดปากได้.. เอ๊ย ไว้ใจได้มาตรวจให้แน่ๆ อีกที”

 

หญิงสาวตบไหล่คนที่จะนอนเอนกายอยู่มานั่งกับฟูกเตียงเรียบร้อยแล้ว

 

“แต่ถึงยังไง… สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองน่ะเอเลน ช่วงนี้ว่าง่ายๆ อยู่แต่ในปราสาทตามใจหมอนั่นจะดีกว่า”

 

“ครับ….”  เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างจำยอม

 

สมองครุ่นคิดถึงคำว่า ‘ต้องบอกนะ!’ ของคุณฮันจิในหัว ไม่หรอก… เธอน่ะ ยังไม่พร้อมรับมือกับเรื่องสำคัญขนาดนี้หรอก ยิ่งมีหัวหน้ารีไวมาเป็นหนึ่งในตัวแปรแล้วยิ่งไม่กล้าเข้าไป

 

บางครั้งเอเลนก็นึกสงสัยว่า… ความกล้าและหัวรั้นของตัวเอง ตกหายไปตอนไหนกัน?

 

 

 

 

花咲く少女 Hana saku Shoujo [8]

 

花咲く少

Hana saku Shoujo

-8-

 

 

 

รีไวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เขาไม่ได้ฝันร้าย ไม่ได้ตื่นกลัวพวกไททันข้างนอกเพราะมีการจัดเวรยามที่แน่นหนา หรือไม่ได้มีนิสัยเหมือนเด็กที่ไม่สามารถนอนคนเดียวได้

ตั้งแต่รีไวจำความได้ตัวเขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไร้เพื่อนฝูง ไร้ญาติ และไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชินที่ทำให้หัวใจด้านชา จนวันหนึ่งได้มาพบกับเออร์วินและฮันจินั่นล่ะ…หรือควรจะเรียกว่าคิดผิดที่ได้รู้จักกับคนพวกนี้ดี

ชีวิตในกำแพงนั้นมีแต่เรื่องยุ่งยาก ความโกลาหลก่อตัวขึ้นทุกวัน พวกทหารต่างต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถรับมือกับพวกไททันได้ แม้พวกมันจะไม่ได้มีการพัฒนาตนเองไปมากกว่าที่ตาเห็น แต่เมื่อมีไททันขนาด 50 เมตรปรากฎขึ้นมา ความสงบสุขที่ไม่เคยมีจึงบั่นทอนกำลังใจของใครหลายๆคนที่อดทนต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดข้างนอกนั่น

รีไวไม่เคยแพ้ให้กับไททันตัวไหน การต่อสู้ระหว่างตัวเขากับสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์ที่พยายามจะปลิดชีวิตมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากหากหมั่นฝึกฝนและค่อยๆเรียนรู้จากคนระดับสูงในหน่วย รีไวไม่ชอบอวดหรือเที่ยวโพทะนาว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น มีแต่คนรอบข้างที่พยายามจะยกย่องและเชิดชู เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดีและน่าสรรเสริญ การฆ่าก็เป็นเพียงการฆ่า ไม่ได้น่าสนใจ หนำซ้ำบางครั้งยังน่าเบื่อ การที่ต้องตระเวนออกสำรวจและพบกับพวกไททันทุกวันมันไม่ได้น่าพิสมัยนักหรอกนะ

หัวหน้ารีไวน่ะเท่มากๆเลยนะ!’

            ใช่ไหมล่ะ ฉันน่ะอยากเป็นอย่างเขาบ้าง

                ‘แต่ติดอย่างเดียวคือชอบทำหน้าตายนี่ล่ะ แถมยังอารมณ์รุนแรงอีกต่างหาก เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้

                ‘แกน่ะอย่าพูดเสียงดังไป เดี๋ยวก็โดนเชือดแบบพวกไททันหรอก

                ใครๆก็มักจะพูดถึงเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าของเขา รีไวไม่คิดว่ามันแปลกตรงไหนกับการที่ตนจะไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เศร้า หรือไม่แสดงอาการตอบรับใดๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของเติมแต่งที่ทำให้เรามัวแต่ลุ่มหลงไปกับมัน รีไวเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วกับคนที่มัวแต่หลงระเริงในชัยชนะที่ได้มา…แต่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตกลับต้องถูกย้อมไปด้วยสีเลือดของตัวเอง

น่าขำที่ใครๆต่างก็มัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้น จนในที่สุดก็กลายเป็นความน่าสมเพช

รีไวยันตัวลุกขึ้นนั่งและพิงหลังกับหัวเตียง ความมืดรอบด้านที่ควบคู่ไปกับความเงียบสงัดไม่ได้ทำให้จิตใจผ่อนคลาย แต่สัญชาตญาณกลับยิ่งตื่นตัว โสตประสาทรับเสียงได้ดียิ่งขึ้นมากกว่าตอนกลางวันเสียอีก นี่ก็คงเป็นความเคยชินอีกอย่างจากเมื่อสมัยที่ต้องประคับประคองเอาชีวิตให้อยู่รอดไปถึงวันถัดไปอยู่ตลอดเวลา

เมื่อได้มองอีกด้านของเตียงที่ว่างเปล่า รีไวจึงกำมือเอาไว้หลวมๆเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่ก่อตัวขึ้น ฝ่ามือยังจำได้ถึงสัมผัสของก้อนเนื้ออ่อนเยาว์ของเด็กสาว มันอวบอิ่ม สีชมพูสวยสดก็น่าจับต้องยิ่งกว่าอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ตนลืมทุกอย่างรอบตัวไปจนหมดนั้นคงหนีไม่พ้นใจกลางของหุบเหวลึกที่ส่งกลิ่นหอมหวานเหมือนดอกไม้

ภาพเรียวขาที่ตั้งชันขึ้นบนโต๊ะในห้องครัวยังคงทำให้รีไวรู้สึกตื่นตัวแม้ในยามหลับ สะโพกมนของเด็กสาวสั่นระริกเมื่อรีไวใช้นิ้วของตนลากไล้ไปตามเรียวขา ไม่นานนักกลีบของดอกไม้สาวก็แย้มบานเหมือนดอกทานตะวันท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง ทำให้แม้อยากจะทำรุนแรงแค่ไหนแต่ตนก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้

รีไวได้สัมผัสตรงส่วนนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันน่าจะเป็นความเบื่อหน่ายและไม่ควรมีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นอีกเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เขาอยากจะเข้าไปสำรวจในบริเวณนี้ให้ละเอียดมากขึ้นเหมือนๆกับที่ต้องออกไปตรวจความเรียบร้อยด้านนอกนั่น

อะหัวหน้าอ๊ะ!’

                ‘ฉันบอกให้เรียกว่ายังไง จำไม่ได้หรือไง?’

                ‘หะ..ระ..รีไว

                ‘เรียกอีกสิ

                ‘รีไว..รีไว

                เสียงเรียกชื่อนั่นแทนที่จะน่ารำคาญเหมือนเวลาได้ยินจากปากคนอื่น แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เขาอยากจะฟังคนตรงหน้าเรียกชื่อตนไปอีกเรื่อยๆ ไม่อยากให้ริมฝีปากเล็กๆนั่นหยุดเอ่ยชื่อของตนออกมา

เอเลน เยเกอร์เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมสำรวจ แต่มีความโดดเด่นจนน่าตกใจนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน แววตาที่แข็งกร้าวและดุดันซึ่งมาพร้อมกับความทะเยอทะยานทำให้ใครหลายคนอดจะชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะยัยฮันจิ ทว่ามันช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาที่ดูแล้วน่าจะสู้กับพวกไททันได้ไม่เกินสิบวินาที

ผมชื่อเอเลน เยเกอร์ครับ

                ‘ผมรู้แค่ว่าอยากฆ่าพวกไททันให้หมดไปจากโลกใบนี้ด้วยมือของตัวเอง

                ‘ได้โปรดเถอะครับ!’

                ความคิดแรกที่ตนมีต่อเด็กหนุ่มคนนี้คืออีกฝ่ายช่างน่าขัน อายุยังน้อย ฝีมือก็ยังไม่มี แต่อยากจะฆ่าพวกไททันจนแทบทนไม่ไหว แม้จะมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องของแม่ แต่รีไวคิดว่าใครๆต่างก็มีความทรงจำอันเลวร้ายด้วยกันทั้งนั้น ทว่าเด็กคนนี้ก็ยังคงมีปณิธานที่จะก้าวไปข้างหน้าถึงแม้จะฝึกและต่อสู้กับพวกไททันแบบล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด

ระหว่างการสอดประสานร่างกายของตนและเอเลนเข้าด้วยกัน รีไวก็สังเกตว่าสีหน้าและดวงตาของอีกฝ่ายยังคงแสดงถึงความมุ่งมั่น ถึงจะโดนแกล้งโดยที่เขาหยุดเคลื่อนไหวกลางคัน หรือทำให้ทรมานด้วยการหยอกเย้า เอเลนก็ยังคงเป็นเอเลนคนเดิม

เพราะอะไร…ถึงได้มีแววตาเข้มแข็งขนาดนั้น

ตอบฉันสิ เอเลน เยเกอร์

 

 

“เอ๋ ขี่ม้า?”

“ใช่แล้ว รีไวให้ฉันมาชวนน่ะ ปากหนักจริงๆเลยนะหมอนั่น”

เอเลนสับสนและมึนงงกับความคิดแบบปุบปับของหัวหน้ารีไวเป็นอย่างมาก เธอที่กำลังเดินมายังห้องส่วนกลางเพื่อหวังจะมาหาหนังสืออ่านได้พบกับคุณฮันจิเข้าพอดี อีกฝ่ายยิ้มทักทายก่อนจะเปิดปากบอกเรื่องที่ทำให้ต้องตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน

“จะ จริงเหรอครับคุณฮันจิ!?” แม้จะดูเสียมารยาทกับการใช้เสียงดังเกือบเท่าการตะโกนในการถาม แต่ก็อดไม่อยู่จริงๆ

“จริงแท้แน่นอนเลยล่ะ ขอเอาพวกไททันข้างนอกนั่นเป็นประกัน”

“แต่ว่า…เมื่อวานหัวรีไวเขา…” เมื่อวานอีกฝ่ายยังบอกว่าห้ามออกไปไหนอยู่เลยนี่นา

“อ๋อ ที่บอกว่าห้ามออกไปข้างนอกน่ะเหรอ รีไวคงหมายถึงถ้าออกไปคนเดียวก็ห้ามไป แต่ถ้าออกไปกับหมอนั่นล่ะก็ไม่มีปัญหา”

คุณฮันจิพูดราวกับรู้ใจของใครอีกคนที่ปรากฎชื่อไม่ได้อยู่ในวงสนทนา แต่พอเอเลนคิดตามก็พบว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย ยิ่งคิดว่าจะได้ออกไปข้างนอกก็ยิ่งตื่นเต้นจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ในที่สุดก็จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เสียที

ว่าแต่…ทำไมอยู่ดีๆหัวหน้ารีไวถึงใจดีขึ้นมานะ? แล้วทำไมต้องขี่ม้าด้วย?

ฮันจิเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปก็คิดว่าอาการป่วยอาจจะกำเริบจึงรีบวิ่งเข้าไปหมายจะเอามืออังหน้าผาก แต่เด็กสาวดันก้าวถอยหลังด้วยความตกใจจากการจู่โจม จึงเป็นเหตุให้ล้มร่วงลงไปกองกับพื้นทั้งคู่

“โอย…ขอโทษด้วยนะเอเลน” ฮันจิรีบลุกขึ้นเพราะกำลังนั่งทับอีกฝ่ายอยู่ พร้อมขอโทษขอโพยที่พุ่งเข้ามาหาแบบกะทันหัน แต่ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่สัมผัสได้ทำให้คิ้วขมวด

เอเลนที่นอนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้มองคนด้านบนที่นิ่งไป “มะ มีอะไรเหรอครับคุณฮันจิ?”

“นะ…”

“นะ…?” หรือว่าคุณฮันจิจะเจ็บที่หน้า

“นะ…หน้าอก…ไม่มีเลย”

“อะไรนะครับ…อ๊ะ!?”

เอเลนรีบเอามือของตัวเองไปตะครุบมือทั้งสองข้างของหญิงสาวที่นั่งทับตนอยู่ เพราะสาวเจ้ากำลังล้วงมือเข้ามาในเสื้ออย่างอุกอาจ แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันแต่เอเลนก็ไม่ก็รู้สึกมันดูไม่ปลอดภัยอยู่ดี

เพราะคุณฮันจิน่ะ… ไม่ใช่แค่จับธรรมดา แต่ทั้งบีบทั้งขยำ แถมพลิกไปมาราวกับจะเลือกเนื้อหมูอย่างไรอย่างนั้น

และมือไว้ซะจนรู้ตัวอีกที่ผ้าที่รัดแผ่นอกอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้ว ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้าง มองอีกฝ่ายที่ส่งเสียง ‘ฮุฮิ’ พร้อมโบกผ้าในมือที่ชิงไปจากเธอได้

“ไม่ต้องรัดหน้าอกไปขี่ม้ากับรีไวหรอกน่า ไม่มีใครเห็นหรอก แถมเผื่อถ้าสายบังเหียนเกิดหล่นขึ้นมา รีไวจะได้มีอย่างอื่นให้จับ”

พอพูดจบหญิงสาวก็หัวเราะเสียงดังและวิ่งออกไปจากห้อง แต่ยังไม่วายจะหันมาบอกทิ้งท้าย “รออยู่ที่นี่นั่นล่ะ เดี๋ยวอีกสักพักรีไวจะมาพาไป” คนช่างแกล้งทิ้งเด็กสาวให้อยู่ในห้องกับแผนที่และกระดาษร่างแผนการปราบไททันบนโต๊ะ เอเลนมองซ้ายมองขวาพร้อมยกแขนขึ้นมากอดอกเพื่อหวังจะปกปิดรอยนูนบนเสื้อตัวบาง แต่ทำยังไงก็ปิดได้ไม่มิด

คุณฮันจิก็ไวยิ่งกว่าลม จะไปตามเอาผ้ารัดหน้าอกคืนก็กลัวคนอื่นจะเห็น ถ้าเจอหัวหน้าเออร์วินหรือหัวหน้ารีไวก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนอื่นมีหวังความแตกแน่ คงได้แต่ต้องรออยู่ในห้องนี้

ว่าแต่…สายบังเหียนมันจะหล่นได้ยังไงล่ะครับคุณฮันจิ!

แล้วอีกอย่าง….. อย่างอื่นให้จับที่ว่านี่คงไม่ได้หมายถึง…

เอเลนอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองหน้าอกตัวเองที่ดุนดันเสื้อเนื้อบางออกมา จนเห็นปลายยอดรำไร ใบหน้านวลแดงก่ำขึ้นมาแทบจะในทันทีก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ ไล่ความคิดประหลาดๆ ออกไป

ม่ะ…คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า!!

ดังนั้นจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะเฉยๆ ยามที่ต้องมานั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันกับหัวหน้า

ครั้งแรกที่พูดถึงการ ขี่ม้า ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธออยู่ตัวเองขี่ม้าตามอีกฝ่ายเช่นที่เคยออกไปทำภารกิจด้วยกัน ฉะนั้นถึงจะมีคำพูดแปลกๆ ของคุณฮันจิชวนให้คิดลึกพอนั่งสักพักมันก็ค่อยๆ เลือนหายไป แทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ออกไปข้างนอกแทน

แต่ไหนแต่ไรเธอก็ชอบที่กลางแจ้งมากกว่าอุดอู้อยู่ในที่แคบๆ

สายลมเย็นสบาย และแสงแดดอ่อนๆ กำลังดีของยามสาย สีครามของผืนฟ้าตัดกับปุยเมฆสีขาวสะอาดที่ลอยเอื่อยๆ

ปลอดโปร่ง…. และเป็นอิสระ

ทำให้นึกถึงความปรารถนาแรกสุดที่มีในตอนเด็กขึ้นมาได้

เธออยากมีปีก… ปีกแห่งอิสระที่โผบินข้ามผ่านกำแพงสูงชัน ล่องลอยอยู่บนฟ้าอย่างเสรี

ไม่ต้องกลัวไททัน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใด

“เหม่ออะไร? ส่งมือมาสิ เอเลน”

เสียงทุ้มต่ำดังขัดภวังค์ความคิด เอเลนมองมือที่ยื่นมาด้วยความสงสัย ก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที เมื่อมองตะแคงซ้ายตะแคงขวาอย่างไร ก็ไม่เห็นม้าตัวอื่นแม้แต่น้อย

“จะให้ผมขึ้นม้าตัวเดียวกับหัวหน้า…เหรอครับ?”

คิ้วเรียวขมวดหม่นคล้ายกับจะบอกว่า ‘แล้วแกมีปัญหาหรือไง?’ ดวงตาสีเทาคมกริบจ้องเขม็ง หากเอเลนที่ปกติจะทำตามคำสั่งอีกฝ่ายอย่างไม่บิดพลิ้วกลับละล้าละลัง

ไม่ว่าจะซ้อนอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง…

นะ…หน้าอกที่มีเพียงผ้าผืนบางๆ กั้นอยู่ที่มันก็ต้องโดนอีกฝ่ายอยู่แล้วน่ะสิ!!

 

“ผะ..ผม ผมว่าผมไปหาม้าตัวอื่นมาอีกดีกว่าครับ ต่างคนต่างขี่จะคล่องตัวกว่า”

เด็กสาวตัดสินใจเองทันที แม้จะรู้สึกเสียววาบๆ กับบรรยากาศที่เย็นเยียบลงทุกขณะ และก่อนที่จะได้หมุนกายไปที่ตั้งใจไว้ มือของอีกฝ่ายก็ผละจากบังเหียนที่ถือครองไว้ เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากร่างทั้งร่างของเธอขึ้นเป็นนั่งปุ๊ตรงหน้าตักหัวหน้าพอดิบพอดี

แม้จะไม่แรงมาก…

แต่ก็แรงพอที่จะทำให้จุกพอควร เหมือนอะไรบางอย่างในตัวกระแทกและกลิ้งไปมาในช่องท้อง

หากท่อนแขนที่สอดรองเข้ามาใต้ฐานอก ยามจับบังเหียนเล่นเอาสะดุ้งเฮือกจนลืมสิ่งที่คิดอยู่ถึงเมื่อครู่ไปถนัด

“ไม่ได้รัดหน้าอกสินะ จงใจหรือไง”

เอเลนเม้มปากแน่นด้วยความอาย ก่อนจะกลั้นใจตอบไป

“ปะ..เปล่านะครับ เพราะคุณฮันจิต่างหากล่ะครับ!”

บานประตูหนาหนักของป้อมปราการเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงของประตูที่ครูดไถไปกับพื้นดังเสียจนต้องเงยหน้ามองดู

กลิ่นของสายลมลอยฟุ้งมาต้องโสตประสาท พร้อมกับลมหอบใหญ่ที่โกยกลิ่นของต้นหญ้าและดอกไม้หอมชื่นใจมาด้วย

แม้จะเป็นภาพที่เคยเห็นแล้วก็ตาม… แต่ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีของกอหญ้ากว้างไกลไปจนแทบสุดสายตา กำลังลู่ไหวไปตามสายลมและเปล่งประกายด้วยสีของแดดจากดวงตะวันที่ส่องผ่านชั้นเมฆลงมา

ราวกับภาพในหนังสือเก่าๆ ที่เคยเห็น

รอยยิ้มสดใสร่าเริงแย้มกว้างขึ้นอย่างยินดี ผิดกับใบหน้าหม่นหมองที่เห็นมาหลายวัน

            ….ดีแล้วที่เชื่อยัยสี่ตานั่น

นานๆ ครั้งหัวสมองของยัยนั่นก็ใช้การณ์เรื่องอื่นนอกจากเรื่องไททันขึ้นมาได้เหมือนกัน

กีบม้าหนุ่มตัวใหญ่เยื้องเหยียบไปตามทางลูกรังด้วยความเร็วที่คงที่ ไม่ได้เร่งร้อนหรือควบทะยานเช่นเวลาปฎิบัติภารกิจ เปิดโอกาสให้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ที่สวยงามและเงียบสงบของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่

ทุกสิ่งล้วนแปลกตาไปหมดสำหรับเอเลนที่เติบโตมาในเชตชิกันชินะที่เต็มไปด้วยบ้านของผู้คนและสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกต่างๆ

จะต้นไม้หรือทุ่งหญ้ากว้างๆ มีอาณาเขตเพียงน้อยนิด ซึ่งควรเรียกว่า สวน มากกว่าทุ่ง

แก้วตาสีมรกตทอประกายระยิบระยับ ลืมสิ้นว่าท่าที่ตัวเองเป็นอยู่แทบจะเกยบนตักของใครรอมร่อ ซ้ำยังตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุขขยับตัวไปมา

สะโพกเพรียวเสียดสีกับหน้าขาของเขา ข้างหน้าก็มีก้อนเนื้อนุ่มหยุนกระเด้งกระดอนไปมาบนท่อนแขน

หากเป็นคนอื่น… รีไวคงคิดว่าแสร้งทำเป็นดีอกดีใจและยั่วยวนตนอยู่อย่างแน่นอน

แต่ดวงตาใสซื่อที่สะท้อนเพียงภาพทุ่งหญ้าเบื้องหน้านั่น มีเพียงความร่าเริงและตื่นเต้นที่ตัวเองได้ออกมาข้างนอกเท่านั้น ความไร้จริตจะก้านและไม่ระวังตัวที่บ่งบอกถึงความไร้เดียงสาคล้ายความอายที่มีแต่แรกถูกปัดเป่าหายไปเพียงสายลมหอบหนึ่งนั่นอีก

เล่นเอาอดมันเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ แต่เดิมแค่คิดจะพาออกมาจากป้อมและให้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เท่านั้น เห็นทีคงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ซะแล้ว

รีไวก้มเอนตัวไปด้านหน้าก่อนจะเอาคางเกยกับไหล่คนที่นั่งมองธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน กลิ่นความหอมจากตัวอีกฝ่ายทำให้เผลอสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า จนเจ้าของลำคอพยายามจะขยับตัวออก เขาฝังเขี้ยวลงไปบนนั้นขาวอย่างไม่แรงนัก

“หะ หัวหน้า!” เด็กสาวร้องขึ้นมาก่อนจะดิ้นขลุกขลัก

“มีอะไรงั้นเหรอ…” รีไวยังคงใช้ริมฝีปากไต่ไปตามช่วงลำคอของอีกฝ่าย เพื่อหวังจะให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับที่มากขึ้น

เอเลนหน้าร้อนจนหยุดไม่อยู่ สถานที่แห่งนี้เปิดโล่ง แม้จะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆพวกตนแต่การทำแบบนี้ในที่สาธารณะก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอ เด็กสาวพยายามขืนตัวเอาไว้ก่อนที่เลยเถิดไปมากกว่านี้ แต่นอกจากคนที่นั่งซ้อนหลังเธออยู่จะไม่ยอมหยุดง่ายๆแล้ว เขายังเพิ่มแรงบดเบียดร่างกายเข้ามามากขึ้น

เด็กสาวรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังดุนดันช่วงล่างของสะโพกตนอยู่ ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังไม่มีอะไรแท้ๆ…แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับยิ่งปะทุหนักขึ้น หนทางหนีรอดของเธอก็เป็นศูนย์ เพราะคงไม่ดีแน่หากจะกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อหนีคนๆนี้แล้วต้องแลกมาด้วยอาการกระดูกหัก

รีไวปล่อยมือข้างขวาของตนออกจากบังเหียน ฝ่ามือทาบไปบนต้นขาอีกฝ่ายก่อนจะไล่ไปตามแนวที่นำพาไปสู่ใจกลาง นิ้วมือแตะที่จุดสัมผัสผ่านร่มผ้า ชายหนุ่มเค้นคลึงและกดย้ำที่เนื้อผ้าแรงสลับเบา ท่อนแขนของตนถูกมือของคนที่นั่งด้านหน้าจับเอาไว้เป็นหลักยึด เสียงครางจากเด็กสาวเริ่มดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ

“อะ…ไม่…เดี๋ยวจะ…มีคนเห็น”

ยิ่งได้ยินคำพูดที่แสดงถึงความกลัว ชายหนุ่มจึงใส่แรงลงไปมากขึ้น ปลายนิ้วเลื่อนขึ้นมาด้านบนก่อนจะแทรกเข้าไปในกางเกงที่อีกฝ่ายสวมใส่ สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือสัมผัสของไรขนอ่อนที่เป็นไปตามวัย ตามมาด้วยกลีบดอกไม้อ่อนนุ่มที่กำลังตื่นตัว รีไวทักทายมันด้วยการบีบเบาๆ ของเหลวบางส่วนจึงเคลื่อนตัวออกมาตามแรงกระตุ้น

เอเลนไม่อยากทุกอย่างเกินเลยมากไปกว่านี้จึงพยายามดึงมืออีกฝ่ายออก แต่พอทำอย่างนั้นมากเข้าผู้เป็นหัวหน้าก็ดูจะโกรธ เพราะปลายนิ้วที่กำลังปัดป่ายไปทั่วบริเวณได้หยุดการเคลื่อนไหวลง มือขวาถูกถอนออกมาจากด้านในก่อนที่ใบหน้าของเธอจะถูกมือข้างเดียวกันจับให้หันไปด้านหลัง จูบอันเร่าร้อนบดเบียดลงมาอย่างไม่ให้มีการเตรียมตัวเตรียมใจ

“อะ…อื้อ…”

“ถ้ายิ่งขัดขืน จะยิ่งเจ็บนะเอเลน เยเกอร์”

เด็กสาวตอบรับการรุกเร้านั้นด้วยปลายลิ้น สมองขาวโพลนลืมเลือนซึ่งทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้และกำลังปฏิบัติอยู่ได้คนๆนี้เป็นผู้สอน เธอต้องรู้จักตอบสนอง ต้องรู้จักโอนอ่อน และต้องรู้จักจังหวะที่ดีที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย

ถ้าขัดขืน…ก็จะเจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้

แต่ถ้าทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง…เธอจะได้รางวัลเป็นสิ่งตอบแทน

รางวัลที่ว่าก็คือ…

“อ๊ะ!”

มือของคนที่จูบเธออยู่กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้นิ้วทั้งห้ากำลังทำหน้าที่เหมือนเช่นที่เคยทำ พื้นผิวเนื้ออ่อนเบียดตัวเข้าหาปลายนิ้วที่กำลังหยั่งเชิงอยู่ไม่ห่าง เอเลนเผลอแอ่นตัวไปด้านหลังเพื่อใจกลางลำตัวให้แนบชิด “อา…รี…รีไว”

เจ้าของชื่อยิ้มออกมาเพราะพึงพอใจในคำเรียกหา ชายหนุ่มส่งปลายนิ้วเข้าไปในประตูแห่งความเยาว์วัยที่เปิดออกกว้าง นิ้วเรียวสอดประสานไปกับดอกไม้งามที่กำลังบานสะพรั่ง ดอกตูมซึ่งกำลังเผยอตนทำให้ง่ายต่อการรุกคืบไปตามเส้นทาง ผู้บุกรุกถอยหลังและเดินหน้า สลับไปมาอย่างที่เคยเป็น

เอเลนกระสับกระส่าย ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำเหมือนทุกครั้ง แต่แรงที่ไม่มากพอทำให้เธอไม่สามารถปลดปล่อยความอึดอัดภายในตัวออกไปได้จนหมด ประกอบกับการที่กลัวใครจะผ่านมาเห็นก็ยิ่งทำให้ไม่สบายใจจนไม่อาจแสดงอารมณ์ได้มากเท่าที่ต้องการ

ผ่านไปไม่นาน ผู้ที่กำสายบังเหียนก็สั่งให้ม้าหยุด เด็กสาวหอบหายใจและหันหลังไปมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ถ้าหัวหน้ารีไวจะหยุดเพียงเท่านี้เธอก็โล่งอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…หัวหน้ารีไวก็คือหัวหน้ารีไวอยู่วันยังค่ำ

“ยกสะโพกขึ้นแล้วถอดกางเกงสิเอเลน”

“เอ๋?”

เอเลนรู้สึกตกใจกับคำสั่งนั้น ถะ…ถอดกางเกงเนี่ยนะ!? หัวหน้ารีไวเป็นอะไรไปแล้ว!? ถ้าจะให้มาถอดกางเกงกลางทุ่งแบบนี้ล่ะก็…ล่ะก็…เขายอมตายดีกว่า

“จะถอดเองหรือจะให้ฉันถอดให้?”

“ถะ ถอดเองครับ!”

…ยังไงเธอก็ขัดขืนอะไรที่คนๆนี้สั่งไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากนี้ค่อยกระโดดไปกลางวงล้อมของพวกไททันแล้วให้พวกมันกินก็แล้วกัน

เด็กสาวยันมือบนแผงคอของม้า แม้จะรู้สึกอายแค่ไหนแต่ถ้าให้อีกฝ่ายเป็นคนถอดให้ก็คงจะแย่เข้าไปใหญ่ ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันผู้ออกคำสั่ง สะโพกของเธอจึงถูกจับแน่นและถูกยกลอยขึ้นสูงจากลำตัวม้าพอสมควร

“หะ…หัวหน้าครับ!”

“รีบๆถอดสิ มัวรออะไรอยู่”

เมื่อถูกสั่งให้รีบ เด็กสาวจึงหลับตากลั้นใจปลดกระดุมกางเกงออก จากนั้นจึงเลื่อนปราการด่านแรกออกไปให้พ้นสะโพก ผ้าสีขาวหล่นไปกองตรงขา ตอนนี้เธอมีเพียงกางเกงชั้นในที่ใช้ปกปิดความลับแห่งหญิงสาวเอาไว้

รีไวมองบั้นท้ายกลมกลึงที่ขาวเนียนไปทุกตารางนิ้ว เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้บนเนื้อแน่นที่ไร้รอยขีดข่วนใดๆแล้วจึงนึกสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงสามารถผ่านการฝึกหฤโหดมาได้โดยไร้รอยตำหนิ

แต่ถึงคิดหาเหตุผลไปก็คงไม่ได้อะไรกลับมา…เพราะเอเลน เยเกอร์มักจะมีความลับที่น่าค้นหาซ่อนอยู่เสมอ

“อะ…อุก!”

เด็กสาวหน้าคว่ำลงไปขนบนแผงคอของม้าอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะสะโพกของตนถูกยกขึ้นให้สูงกว่าเดิม เอเลนใช้แขนกอดคอกว้างของม้าไว้แน่นเนื่องจากกลัวจะหล่นลงไป ขณะที่กำลังจะหันไปถามถึงเหตุผลกับคนข้างหลัง ความเปียกชื้นที่กำลังแตะลงบนผิวเนื้อของเธอโดยตรงก็ทำให้ลืมคำพูดทุกอย่างไปจนหมด

การหาเหตุผลกับหัวหน้ารีไว…คงเป็นยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก

รีไวไม่ได้ถอดกางเกงชั้นในของเด็กสาวออก แต่ได้ดึงเนื้อผ้าซึ่งกำลังเปียกชื้นที่พาดผ่านกึ่งกลางลำตัวของอีกฝ่ายออกไป ส่วนของชั้นในที่ถูกดึงรั้งออกมาเผยให้เห็นส่วนล่างของเนินเนื้อที่มีสีเข้มขึ้นจากแรงกระตุ้น กลีบดอกที่หุบเข้าก่อนจะเผยอออกในวินาทีถัดทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะส่งปลายลิ้นไปชิมรสชาติของน้ำหวานที่เพิ่งผลิตออกมา

เอเลนอยากจะร้องไห้ด้วยความอาย เธอไม่เคยขนาดนี้มาก่อน หากใครมาเห็นภาพตอนนี้ก็คงจะต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ ทั้งร่างกายช่วงล่างที่เปลือยเปล่า ทั้งสะโพกที่ถูกยกสูงจนเหมือนเป็นเธอเสียเองที่เสนอตัวให้ ทั้งหัวหน้ารีไวที่กำลังชะโงกหน้าเข้ามาในส่วนที่ควรจะเป็นความลับของเธอ และทั้งยังอีกสารพัด

…ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นบนหลังม้าตัวหนึ่ง

“อือ…อะ…ไม่…”

“ไม่เอาแบบนี้ก็ได้”

เด็กสาวคิดว่าหัวหน้าของเธอคงจะเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ผิดไปแน่นอน เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนอีกฝ่ายกำลังจัดการอะไรกับตัวเอง ซึ่งพอเธอก้มมองลอดผ่านช่องว่างไปจึงได้รู้คำตอบว่าเธอและเขากำลังจะเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง

รีไวมองสภาพร่างกายของตนที่พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนต่อไป ผิวเนื้อตรงใจกลางที่เปรอะเปื้อนของคนตรงหน้าเองก็แสดงให้เห็นว่ากำลังรออยู่เช่นกัน แม้เด็กสาวจะหลับตาพร้อมกับเม้มปากแน่นเหมือนจะไม่เต็มใจ…แต่จะให้มาหยุดอยู่ตรงนี้ก็คงไม่ได้แล้ว

“นั่งลงมาสิเอเลน”

คำสั่งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูจะยากที่สุดในบรรดาคำสั่งทั้งหมดของวันนี้ทำให้เด็กสาวถึงกับต้องกลั้นหายใจ “มะ มันเจ็บ…”

“ค่อยๆนั่งลงมาสิ ฉันจะช่วยเอง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อหวังจะคลายความกลัวให้

เอเลนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สองสามครั้งจากนั้นจึงย่อตัวลง สะโพกค่อยๆลดต่ำไปตามแรงนำของฝ่ามือใหญ่ การเคลื่อนไหวหยุดชะงักเมื่อส่วนล่างสัมผัสกับอณูความร้อน “ไม่…ไม่ทำได้ไม่ครับ…”

ชายหนุ่มเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกลัวจึงเข้าไปกระซิบที่ใบหูของเด็กสาว “เด็กดี…เชื่อฉันสิ…เอเลนของฉัน”

คำสุดท้ายที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายออกมามากกว่าปกติทำให้เด็กสาวหลับตาและกลั้นใจอีกครั้ง “อ๊ะ” เอเลนไม่สามารถเก็บเสียงของตัวเอาไว้ได้เมื่อได้รับสิ่งที่คล้ายเปลวไฟซึ่งพร้อมจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้ ความคับแน่นสอดตัวลึกขึ้นเมื่อเธอทิ้งสะโพกต่ำลงไปเรื่อยๆ

จนในที่สุด

ม้าตัวเดิมออกวิ่งอีกครั้งเมื่อได้รับคำสั่งจากการขยับบังเหียน มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มยังคงควบคุมทิศทางการวิ่ง แต่อีกข้างได้ถูกนำมาใช้กอบกุมหน้าอกของเด็กสาวเอาไว้จนเต็มกำมือ ปลายนิ้วหยอกล้อกับเนื้อแน่นที่กระดอนขึ้นลงไปตามการวิ่งของม้า หากเป็นไปได้รีไวก็อยากจะเห็นส่วนปลายยอดที่กำลังชูชันด้วยตาของตัวเอง แต่เอาไว้วันหลังก็ยังไม่สายจนเกินไป

“อะ…ฮ้า…อ๊า”

“รู้สึกดีใช่ไหมเอเลน…หืม?”

“อะ…ดะ…ดีครับ”

เด็กสาวหลับตาและเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอออกเพื่อรับอากาสเข้ามาหมุนเวียนภายในเนื่องจากเธอไม่สามารถหายใจตามปกติได้ทัน ร่างกายทุกส่วนเหมือนถูกบังคับให้เคลื่อนไหว ลำตัวสั่นสะเทือนจนแทบจะตกไปจากหลังม้า แต่สะโพกสั่นสะท้านซึ่งถูกยึดติดกับอีกฝ่ายเป็นตัวช่วยประคองเธอเอาไว้

เอเลนทั้งเจ็บและตื่นเต้นกับความรู้สึกแปลกใหม่ไปพร้อมๆกัน การวิ่งของม้าที่ทำให้ร่างกายเธอลอยขึ้นสูงก่อนจะหล่นลงมากดทับลำเนื้อร้อนที่รออยู่นำพาความปวดแสบปวดร้อนมาให้มากกว่าปกติ แต่แรงกระแทกที่ส่งผ่านมาทางท่อนเนื้อจนทำให้มันพุ่งเข้าไปจนสุดทางก็เป็นอะไรที่เธอไม่สามารถบรรยายออกมาได้เช่นกัน

แม้จะเป็นแค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจเล็กๆ แต่เอเลนกลับรู้สึกว่าเส้นทางที่พวกตนกำลังมุ่งหน้าไปช่างยาวเหลือเกิน

“อะ…อะ…อ๊ะ”

“จะไปแล้วนะ…เอเลน”

“คะ ครับ…อ๊ะ!”

ชายหนุ่มกระชากสายบังเหียนส่งผลให้ม้าตัวใหญ่หยุดวิ่งกะทันหัน ส่งผลให้ร่างกายพวกตนถูกเชื่อมจนติดสนิทยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหมือนกับแม่กุญแจและกุญแจที่เข้าคู่กัน รีไวปล่อยสายธารให้หลั่งไหลภายในร่างกายของเด็กสาวจนเต็มเปี่ยม ของเหลวที่มากเกินไปทิ้งตัวลงมาเปรอะเปื้อนไปตามเรียวขา กางเกงชั้นใน กางเกงตัวนอก รวมไปถึงบนลำตัวของม้าด้วยเช่นกัน

เด็กสาวถูกผลักให้ซุกหน้าลงกับแผงคอของม้าก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆถอนตัวออกไป เอเลนรู้สึกเหนื่อยราวกับเพิ่งวิ่งหนีจากพวกไททันสิบตัวมาอย่างไรอย่างนั้น

หวังว่าตอนขี่ม้ากลับไปคงจะไม่เจอคุณฮันจิ…ถ้าไม่งั้นก็คงโดนล้อไปจนตายแน่ๆ

 

 

花咲く少女 Hana saku Shoujo [7]

花咲く少

Hana saku Shoujo

7

เอเลนเริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นเมื่อได้นอนพักรักษาตัวอย่างเต็มที่..ใช่..เต็มที่..ถ้าหัวหน้ารีไวไม่ได้เป็นคนมาดูแลเธอ

เวลาคุณฮันจิมาก็จะทำอาหารที่เรียบง่ายทว่ารสชาติดีกว่าที่เห็นมาให้ พร้อมทั้งเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง หากเป็นหัวหน้าหน่วยเออร์วินก็มักจะมานั่งเฝ้าเงียบๆ มีถามไถ่อาการบ้างเป็นบางครั้ง ระหว่างเธอกับเขายังคงมีเรื่องที่ทำให้เข้าหน้ากันไม่ติดก็จริง แต่ในตอนนี้มันกลับไม่มีผลใดๆอีกแล้วเพราะหัวหน้ารีไวได้ลบสัมผัสของคนอื่นออกไปอย่างหมดจด

เอเลนเผลอก้มหน้าเพราะไม่อยากให้ใครผ่านมาเห็นใบหน้าของตนตอนนี้ มันคงจะดูน่าอายมากแน่ๆ

ถ้าหัวหน้ารีไวเป็นคนมาดูแล..เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องก็จะมีเพียงไม่กี่อย่าง คืออาบน้ำ ป้อนข้าว ทานยา และ…และ..ก็นั่นไงล่ะ..เรื่องแบบนั้น ส่วนเรื่องนอนน่ะก็สุดแล้วแต่หัวหน้าอยู่ดี

‘อะ..อย่าครับหัวหน้า..อ๊า..’

‘เรียกชื่อฉันสิ’

เสื้อผ้าได้หล่นลงไปกองบนพื้นจนหมด ทั้งเนื้อทั้งตัวเปลือยเปล่า มีเพียงอากาศเท่านั้นที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ขาของเธอถูกแยกออกกว้างจนน่าอาย สายตาของหัวหน้าที่มองมาก็ราวกับจะกลืนกินทุกอย่างเบื้องหน้า

‘อะ..หัวหน้..อ๊ะ!’

‘นายกำลังขัดคำสั่งฉันนะเอเลน’

จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอเรียกอีกฝ่ายว่าหัวหน้า ด้วยหน้าที่และการปฏิบัติงานร่วมกันมาเป็นเวลาพอสมควรไม่อาจทำให้เธอหาญกล้าเรียกชื่อเฉยๆได้คุ้นปาก แต่เมื่อเผลอพูดว่า ‘หัวหน้า’ ออกไปเมื่อไหร่..ก็จะถูกแกล้งทุกครั้ง

‘หรือที่นายไม่เรียกเพราะอยากให้ฉันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆกันล่ะ?’

‘แบบนี้’ ที่ว่า..คือการที่จะต้องถูกรุกรานด้วยปลายนิ้ว กลีบดอกไม้น้อยๆของเธอถูกเปิดออกก่อนจะมีสิ่งแปลกปลอมแทรกตัวเข้ามา นิ้วร้อนจะสะกิดผนังด้านใน เล็บที่ไม่ยาวมานักจะสร้างความเสียวซ่านจนต้องส่งเสียงร้องออกไป ยิ่งพูดผิด..ข้างในก็จะถูกกระตุ้นถี่มากขึ้น

‘หะ..หัวหน้..รีไว’

‘อะไรนะ? ฉันไม่ค่อยได้ยิน’

‘รี..ไว..รีไว..อ๊า!’

จังหวะการกระทุ้งที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าเมื่อครู่ทำให้เธอต้องจิกผ้าปูที่นอนแน่น ‘อ๊ะ..อะ’ สักพักทุกสิ่งก็ถูกถอนออกไปแล้วสะโพกของเธอก็ได้ลอยขึ้นสูง เอเลนรู้ได้โดยไม่ต้องถามว่าหัวหน้ากำลังจะทำขั้นตอนสุดท้าย

เอเลนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก ความคิดหยุดชะงักไปเพราะเสียงตะโกนกู่ร้องของเหล่าเพื่อนในหน่วยสำรวจที่กำลังหยอกล้อกัน เธอถอนหายใจแผ่วเบา แม้จะพยายามหยุดความคิดฟุ้งซ่าน..แต่พอเดินมาถึงห้องครัวก็ต้องตบหน้าตัวเองอย่างดัง เหตุการณ์ที่หัวหน้าเป็นฝ่ายอาสาป้อนข้าวต้มให้นั้นทำให้รู้สึกร้อนบริเวณแก้ม หลายครั้งหลายคราที่โดนแตะต้องอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นตัวเธอเองที่เต็มใจให้อีกฝ่ายสัมผัส

ทุกส่วนของร่างกายเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า..ไม่มีตรงไหนที่เป็นความลับกับหัวหน้ารีไวอีกต่อไป

เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ต้องรีบส่ายหัวสลัดความฟุ้งซ่านทั้งหลายทั้งมวลให้หลุดออกไปเพราะร่างกายใต้ร่มผ้าสั่นระริกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เบื้องหน้าของเธอคือห้องครัวที่มีข้าวของเครื่องใช้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของหน่วยสำรวจ อย่างเช่น หม้อ จาน ชาม ช้อน และฟืน ตรงกลางมีโต๊ะขนาดไม่ใหญ่นักสำหรับให้ทุกคนมานั่งกินข้าวพร้อมๆกันได้ ซึ่งในเวลาส่วนใหญ่มันมักจะถูกทิ้งร้าง เท่าที่เธอเห็นก็จะมีเพียงแค่คุณฮันจิและหัวหน้าหน่วยเออร์วินเท่านั้นที่มักจะมานั่งกินข้าวพร้อมปรึกษาเรื่องแผนการต่างๆไปด้วย

เอเลนเดินเข้าไปจับหม้อเก่าๆที่แขวนอยู่บนผนัง หม้อใบนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรที่จะสามารถใส่อะไรลงไปก็ตามและปรุงรสพวกมันเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับทุกคน แต่มื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็นก็มักหนีไม่พ้นซุปใสที่มีเนื้อขนาดลูกเต๋าผสมอยู่เพียงน้อยนิดที่สมาชิกในหน่วยจะผลัดเวรกันทำ เนื่องจากวัตถุดิบมีจำกัด ทุกคนจึงไม่สามารถบ่นอะไรได้ เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจรสชาติจืดชืดที่คุ้นเคย แต่ถ้าให้เลือกก็ไม่อยากต้องเจอมันทุกๆสามมื้อแบบนี้

ที่เธอเลือกที่จะเดินมาเข้าครัวในช่วงเวลาที่เพื่อนๆคนอื่นกำลังฝึกอยู่นี้ก็เป็นเพราะหัวหน้ารีไว ซึ่งพอนึกถึงชื่อนี้ทีไรก็เหมือนมีเจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเช้าหลังแต่งตัวเสร็จเรียบรอยเพื่อออกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหยิบอุปกรณ์ที่คุณฮันจิเตรียมไว้ให้ เสียงของคนที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามา

‘ใครบอกให้ออกมา’

‘ฉันเห็นว่าเอเลนอยากออกมายืดเส้นยืดสายก็เลยบอกให้ออกมาฝึกกับเพื่อนๆน่ะ’ ความจริงแล้วไม่มีเหตุการณ์แบบที่คุณฮันจิบอก แต่พอได้สบตากัน อีกฝ่ายก็ขยิบตาพร้อมแก้ต่างให้เธอ

‘ยังไม่หายดีเลยไม่ใช่หรือไง ทำไมยังจะออกมาอีก ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ข้างใน’

‘เอาน่ารีไว เป็นใครก็ต้องเบื่อทั้งนั้นถ้าต้องอุดอู้อยู่ในห้องทั้งวัน’

‘ฉันไม่ได้ขังให้อยู่ในห้องเสียหน่อย จะเดินออกมาข้างนอกก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่’

เอเลนเห็นคุณฮันจิขมวดคิ้ว เหมือนคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอกำลังพยายามประมวลผลและสรุปคำพูดของหัวหน้ารีไวอย่างจริงจัง ‘ข้างนอกของนาย..หมายถึงในป้อมน่ะเหรอ? บ้าน่า นั่นเรียกว่าข้างในต่างหาก’

‘มันจะเรียกว่าข้างในหรือข้างนอกฉันก็ไม่สนใจ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่’

เอเลนเหมือนเห็นดวงไฟที่ลุกโชนในดวงตาของหัวหน้ารีไว เธอไม่กล้าพูดอะไร รอบข้างเริ่มมีเสียงซุบซิบของเพื่อนคนอื่นๆที่เริ่มสงสัยถึงการที่หัวหน้ารีไวปฏิบัติต่อเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ เธอไม่ต้องฝึก ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ่งที่เกี่ยวกับการล่าไททัน หรือแม้แต่จะออกมาข้างนอกยังทำไม่ได้ เธอจึงได้แต่ก้มหน้ามองพื้นหญ้า

‘เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันไปฝึกได้แล้ว พอดีเอเลนยังไม่หายดีน่ะ อาการค่อนข้างจะยังไม่คงตัว เดี๋ยวก็มีไข้บ้าง หนาวสั่นมาก รีไวเลยกลัวว่าถ้าฝึกซ้อมเป็นทีมแล้วจะลำบาก’

พอคุณฮันจิแก้ต่างให้อย่างชาญฉลาด ทุกคนก็พยักหน้ารับทราบแม้สีหน้าจะยังบ่งบอกถึงความสงสัยได้อย่างเด่นชัด เพื่อนๆบางคนก็เดินมาตบไหล่และบอกให้ดูแลตัวเองดีๆ บางคนก็อวยพรขอให้ได้กลับมาฝึกด้วยกันอีกไวๆ

…แต่เอเลนรู้ดีว่าโอกาสที่จะได้กลับมาฝึกแบบเมื่อก่อนช่างริบหรี่

‘กลับเข้าไปได้แล้ว’ หัวหน้ารีไวสั่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดและแววตาที่คมกริบเหมือนเหยี่ยว เธอจึงต้องเดินกลับไปเข้าข้างในอย่างช่วยไม่ได้

‘นายนี่น้า…เหลือเชื่อเลยจริงๆ นี่ถ้าเป็นฉันนะ…’

เสียงบ่นหงุงหงิงของคุณฮันจิเบาลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เงียบสนิท

เอเลนไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะทำอะไร แถมไม่มีใครให้คุยด้วยอีกต่างหาก ทุกคนต่างออกไปทำหน้าที่ของตัวเองกันหมด เหลือเพียงเธอกับบรรยากาศที่ชวนให้หดหู่ แต่พอเดินผ่านมาทางห้องครัวก็เลยเกิดความคิดดีๆขึ้นมาได้

ปกติแล้วเอเลนไม่ค่อยได้ทำอาหาร เพราะแม่มักบอกเสมอว่าเธอมีทักษะการเข้าครัวที่แย่มาก…แย่พอๆกับมิคาสะเลยทีเดียว แต่สิ่งที่แม่พูดก็เป็นความจริง ขนาดอาหารง่ายๆเธอยังทำมันออกมาได้เป็นอะไรบางอย่างที่มีรูปร่างประหลาด แถมยังมีกลิ่นเหม็นไหม้อีกต่างหาก นั่นทำให้เธอในตอนเด็กเจ็บใจจนแอบไปร้องไห้คนเดียวเงียบๆ แม้จะพยายามอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจไป

แต่ตอนนี้โอกาสที่จะได้ลองทำอาหารหวนกลับมาอีกครั้ง ในเมื่อหัวหน้ารีไวไม่ให้เธอไปฝึกรบ เธอก็จะฝึกทำอาหาร แล้วถ้าเป็นไปได้ก็จะแอบผสมอาหารที่ตนเองทำลงไปรวมกับอาหารมื้อหลัก ทุกคนจะได้เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของหัวหน้ารีไวพร้อมๆกัน

ถึงอย่างไรเอเลนก็ทำได้เพียงแค่คิด ถ้าทำอย่างนั้นจริงมีหวังโดนฆ่าไปพร้อมๆกับพวกไททันแน่นอน

“ไหนล่ะอาหารของฉันน่ะ”

เอเลนทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนหน้าแดง กางเกงและสายรัดยังคงอยู่ในมือของหัวหน้ารีไว ถ้าเธออยากจะได้คืนก็ต้องยอมให้อีกฝ่าย ‘ชิม’ เท่านั้น

“มาสิ..เอเลน’

เสียงที่เหมือนมีมนตร์สะกดดึงดูดให้เธอเดินเข้าไปหา เอเลนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่อาจขัดขืนได้

เด็กสาวเอาฝ่ามือทั้งสองข้างยันไว้ข้างโต๊ะก่อนจะออกแรงดันเพื่อยกตัวเองขึ้นไปด้านบน โต๊ะไม้สั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง เอเลนใช้มือทั้งสองข้างและหัวเข่าที่สัมผัสพื้นไม้เป็นอวัยวะที่ช่วยให้เธอเคลื่อนตัวไปหาคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะ

สายตาที่หัวหน้ารีไวส่งมาทำให้แก้มของเธอร้อนฉ่าขณะที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ เอเลนหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อมาถึงขอบโต๊ะด้านที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ ตอนนี้สายตาของเธอและเขาสบประสานอยู่ในระดับเดียวกัน แววตาที่นิ่งเฉยของหัวหน้าทำให้เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่ความรู้สึกที่หลั่งใหลออกมาอย่างเงียบๆทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามที่ใจคิด

เอเลนแนบริมฝีปากของตนกับริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ทำไมเธอถึงอยากทำแบบนี้ แต่เมื่อรู้ตัวอีกฝ่ายก็ได้เห็นใบหน้าของหัวหน้าของตนในระยะประชิด แต่อีกฝ่ายมีการตอบสนองต่อการจูบแบบเด็กๆของเธอเพียงเล็กเท่านั้น

“มากกว่านี้สิเอเลน”

คำพูดแสดงความต้องการทำให้เธอเพิ่มแรงบดเบียด ปลายลิ้นที่ไร้เดียงสาเริ่มเป็นฝ่ายบุกรุกเข้าไปยังด้านในริมฝีปากของผู้ออกคำสั่ง รสชาติที่คุ้นเคยเริ่มก่อตัวมากขึ้นทีละนิด…ทีละนิด จนภายในห้องที่เงียบสงบเริ่มมีเสียงดังรบกวนไม่ขาดสาย

“อืม…อื้อ”

หัวหน้ารีไวคงเห็นว่าเธอทำงานได้ไม่ดีพอ จึงได้เปลี่ยนเป็นฝ่ายเริ่มรุกล้ำแทน รสจูบที่อ่อนโยนในครั้งแรกเริ่มกลายเป็นความร้อนแรง จังหวะการเคลื่อนที่ของริมฝีปากและเรียวลิ้นดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ริมฝีปากจะยังทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก แต่ผ่านไปไม่กี่วินาทีเอเลนก็รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายที่เมื่อครู่ยังจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของเธอได้เปลี่ยนตำแหน่งไป พวกมันเคลื่อนที่ไปตามแผ่นหลังก่อนที่อีกฝ่ายจะสอดฝ่ามือเข้ามาใต้เสื้อได้อย่างเงียบเชียบ

เด็กสาวรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่บนแผ่นหลังของตน จากนั้นสิ่งแปลกปลอมทั้งสองได้เปลี่ยนทิศทาง พวกมันไต่ลงมาจนถึงหน้าท้องแล้วจึงค่อยๆดันชายเสื้อของเธอให้หลุดพ้นสิ่งที่พวกมันกำลังตามหา

เนินเนื้อของเด็กสาวทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง ส่วนปลายสีชมพูชี้ตรงไปยังพื้นโต๊ะที่เธอใช้มันเพื่อค้ำยันร่างกาย วันนั้นเธอไม่ได้พันผ้ารัดหน้าอกแน่นหนามากนัก เมื่อหัวหน้ารีไวใช้ฝ่ามือสะกิดเบาๆตรงจุดที่พันเอาไว้หลวมๆ แถมผ้าจึงหลุดออกมาอย่างง่ายดาย

“ขยับมาข้างหน้าอีกสิ ฉันจะได้กินได้ถนัด”

หัวหน้าก็ยังคงเป็นหัวหน้า…ยังคงพูดเรื่องน่าอายได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

ฝ่ามือประคองก้อนเนื้อนุ่มหยุนไว้ด้วยสองมือ ก่อนปลายลิ้นอุ่นจะแตะต้องลงมาบนส่วนยอด เด็กสาวสะท้านเฮือกเบือนหน้าหนี ผิวแก้มแดงก่ำขึ้นแทบจะในทันที เสียงหยาบโลนยามดูดกลืนขบเม้มยิ่งทำให้เขินอาย หากความเสียวซ่านที่แล่นริ้วขึ้นมาทำให้ได้แค่กัดฟันกลั้นเสียงครวญในลำคอไว้

หลังจากนั้นเป็นอันรู้กันว่าเธอถูก ‘กิน’ จนหมดทั้งเนื้อทั้งตัวแค่ไหน

มือยามประคองหม้อลงมาจึงสั่นระริก ยังแข้งขาทำงานไม่ได้ดั่งใจนัก เดือดร้อนให้คนที่เฝ้ามองเสมอไม่คลาดสายตาต้องเลื่อนมือมาจับที่หูหิ้วไว้แทน

“ไม่หายดีก็อย่าฝืน”

นัยน์ตาสีเทาคมกริบ เพ่งดุมา พร้อมกับคำพูดสำทับให้ต้องก้มหน้าหนีด้วยความละอายใจ แค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็เกือบผิดพลาด กระทั่งการซ้อมรอบหรือก็ไม่ได้เข้าร่วม

เอเลนสงสัยขึ้นมาจริงจังว่าตอนนี้หน้าที่ของตัวเองยังใช่การไล่ล่าไททันแน่เหรอ? หรือเป็นเพียงไพ่ตายที่อันตรายเกินกว่าจะใช้งานจนต้องมีคนควบคุมอยู่ตลอดเวลากันแน่?

ถึงแม้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้นในทุกค่ำคืน แต่คำว่า ‘รัก’ หรือสิ่งที่แสดงออกว่าต้องการในตัวเธอนอกจากร่างกายแล้ว หัวหน้ารีไวแทบไม่เคยพูดถึงเลย

ใบหน้าเนียนก้มต่ำ นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองเพียงซุปเละๆ กับขนมปังที่วางไว้คู่กัน อย่างเลื่อนลอย

สุดท้ายแล้ว…

สำหรับคนคนนั้น เธอเป็นอะไรกันแน่นะ?

เพราะสำหรับเธอ… มันไม่ใช่แค่ความรัก…

สิ่งที่ เอเลน เยเกอร์ รู้สึกกับหัวหน้าที่ร่วมเป็นร่วมตายและผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกัน คือ ความเชื่อมั่น ความศรัทธาอย่างที่สุด

เธอไม่มีพระเจ้าให้นับถือ…. ดังนั้นแล้วตั้งแต่ลืมตาคู่นี้ขึ้นมา และได้เห็นปีกแห่งเสรีภาพโผบินอย่างอิสระใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่นอกกำแพงนั่น

พระเจ้าของเธอก็คงเป็น… ‘ รีไว’ นั่นเอง

ใช่… ถ้าคิดซะแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ก็จะได้ไม่เจ็บปวดมากล่ะมั้ง?

“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง แต่ไม่ต้องแสดงออกนอกหน้าแบบนั้นจะดีกว่าน่ะ”

ผู้บังคับหมู่หญิงคนเดียวในทีมสำรวจ ‘ฮันจิ โซเอะ’ ที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ในโต๊ะถัดมาไปเอ่ยลอยๆ คล้ายกับจะไม่เจาะจง ปากยังเคี้ยวสลับกลืนน้ำซุปไม่หยุด ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นหรือก็ผินมองไปทางอื่น

หากเออร์วินมั่นใจว่าหญิงสาวจงใจพูดให้ตนได้ยินนั่นแหละ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าแสดงพิรุธอย่างออกนอกหน้าเช่นที่อีกฝ่ายว่า หรือเจ้าตัวอาศัยความเป็นเพื่อนสนิทมองได้ทะลุปุโปร่งกัน?

“ไม่ต้องห่วง… นายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะยังไงก็ดูใจดีอยู่แล้ว แต่คนที่เป็นปัญหาจริงๆ น่ะ”

สาวแว่นใช้ช้อนเขี่ยๆ ซุปในถ้วยพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ

“หมอนั่นตั้งหากล่ะ”

แต่ไหนแต่ไร ‘หัวหน้าทหารรีไว’ ของทุกคนก็วางตัวอย่างไร้มนุษยสัมพันธ์และไม่เห็นหัวใครได้สม่ำเสมอ แทบไม่ใกล้ชิดใครโดยไม่จำเป็น ถ้าไม่ใช่เรื่องงานขนาดเป็นเธอกับเออร์วินที่เป็นเพื่อนสนิทควบเพื่อนร่วมงานที่ซี้ๆ กัน

อย่างน้อยเธอก็คิดว่าซี้กว่าคนอื่นอะนะ…

หมอนั่นแทบจะพูดนับคำได้ ไม่ร่วมควมโหดแบบไร้ปรานีอีกแน่ะ!

แต่จู่ๆ มาแสดงอาการทั้งห่วงทั้งหวงอย่างออกนอกหน้าแบบนี้ เป็นใครก็คงสะดุดใจและเริ่มระแคะระคายถึงความผิดปกติบางอย่างในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ขึ้นมาแล้ว ดีไม่ดีจะมีพวกหูไวตาไวไปสืบเสาะเรื่องราวเอาซะอีก

ความลับน่ะมันไม่มีในโลกหรอกนะเฮ้ย!!

อย่างล้มโต๊ะแล้วเขย่าคอเพื่อนข้างๆ พอๆ กับอย่างวิ่งไปเค้นคอไอ้คนปากหนักที่นั่งป้อเด็กอยู่ไม่ห่างชะมัด

นี่ก็อีกคน… ร้อยวันพันปีไม่เคยสนหญิงที่ไหน ครั้งเมื่อเลือกจะเป็นหัวหน้าทีมสำรวจ… เออร์วินได้อุทิศทั้งกายทั้งใจเพื่อเป้าหมายสูงสุดในการหาความจริงของเหล่าไททันไปแล้ว

แต่หวยดันมาออกที่เด็กสาวที่เป็นคนสำคัญ…ไพ่ตายของมนุษยชาติซะชิบ!

ฮันจิรู้สึกปวดขมับ อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วหัวแม่โป้งนวดๆ คลึงแก้ปวด แม้รู้ดีว่าจะไม่ช่วยอะไรก็ตาม ทางเลือกตอนที่มีคืออย่างน้อยๆ ก็กันสองคนให้ห่างกันในสายตาสาธารณะชนร่วมป้อมซะหน่อย

หน้าที่เสี่ยงตายแบบหาคนทำแทนไม่ได้เช่นนี้ก็คงมีแค่เธอที่กล้าทำเท่านั้นล่ะ!

เอาฟระ! ตายเป็นตาย!!

ไว้จบเรื่องบ้าๆ พวกนี้จะบังคับให้เออร์วินเซ็นต์อนุมัติการออกล่าไททันเป็นๆ แล้วให้รีไวไปล่ามาผ่าทดลองให้หนำใจไปเลย!

คิดได้แล้วจึงยกถาดอาหารที่พร่องไปเยอะแล้ว ถลาไปหาคนสองคนที่นั่งอยู่ แล้วถือวิสาสะแทรกกลางลงไปอย่างไม่รั้งรอ

“ไงจ๊ะ? เอเลนจ๋า~”

หญิงสาวจงใจลากเสียงหวานอย่างกวนประสาท ก่อนเบียดเพื่อนร่วมงานให้ออกห่างร่างของเด็กสาว เจ้าตัวกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด ดีไม่ดีคงอยากพุ่งมาขย้ำคอหอยเธอแล้วด้วยซ้ำไป

แต่ก็อะนะ… ต่อให้นิสัยโผงผางกว่านี้ร้อยเท่าให้มีเรื่องกันที่นี่แบบนี้หมอนั่นที่หน้ามืดขนาดไหนก็ยังเก็บกลั้นอารมณ์กรุ่นๆ ไว้ได้

อดไม่ได้ที่จะขยิบตาแบบขอลุแก่โทษ ซึ่งไม่รู้ไปสะกดต่อมอะไรพ่อคุณเข้า แยกเขี้ยวใส่กันซะงั้น

แต่ที่น่าแปลกคือปฏิกิริยาของเด็กสาว เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับโล่งอก ใบหน้าเนียนที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ดูสุขภาพดี บัดนี้ดูซีดเซียวอย่างไรชอบกล

จะว่าไป… ยังไม่ได้ให้หมอตรวจร่างกายของเอเลนจริงๆ จังๆ เลยนี่น่ะ

เพราะถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ถึงจะเป็นเรื่องดีสำหรับการวิจัยก็เถอะ แต่จังหวะตอนนี้ไม่เหมาะให้ทำอะไรแบบนั้นซะด้วย รั้งแต่จะวุ่นวายเพิ่มไปซะเปล่าๆ

“หันหน้ามาหน่อยสิ เอเลน” ฮันจิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เอเลนกะพริบตาปริบๆ เหมือนคนเพิ่งตื่นจากภวังค์ ดูน่ารักน่าเอ็นดูประสาเด็กสาววัยแรกแย้ม จนอดคิดขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้ว่า… ดูน่ากินล่ะนะ

หญิงสาวสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป แล้วนำมือเรียววางทาบทับบนหน้าผากนวล

ตัวอุ่นๆ ลมหายใจก็ร้อนกว่าที่เคยจับต้อง บอกก่อนว่าเธอไม่ได้นิยมเด็กสาวหรืออะไรหรอกนะ ก่อนหน้านี้เพื่อการทดลองเลยต้องตรวจโน้นตรวจนี้กับร่างกายเด็กคนนี้เท่านั้นเอง!

“วันนี้นอนพักเงียบๆ คงดีกว่าน่ะ เดี๋ยวฉันไปคุยกับหมอนั้นให้”

…. ขืนให้อยู่ห้องเดียวกันเธอคงไม่ได้นอนล่ะนะ

ประโยคหลังนี่กระซิบข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน และตามประสาเด็กไร้เดียงสาไม่คุ้นกับเรื่องพวกนี้ แม้ท่าทางจะโดนหมอนั่น ‘สำรวจ’ ไปซะทุกซอกทุกมุมแล้วก็เถอะ ใบหน้าที่ดูซีดเซียวก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ดูชุ่มฉ่ำมีชีวิตชีวา น่ากินราวกับมะเขือเทศผลโตเลยทีเดียว

“ครับ…” เอเลน เยเกอร์พยักหน้า ดูหงอยๆ ลงนิดหน่อย

ทำเอาเธอต้องลูบศีรษะอย่างปลอบๆ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดที่นุ่มมือราวกับเส้นไหมอย่างไม่น่าเชื่อ นึกอิจฉารีไวที่เด็กคนนี้ติดอย่างกับอะไรดีขึ้นมาเล็กๆ

ก็เด็กมันน่ารัก…. ไม่แปลกที่จะหลงหัวปักหัวปำอะนะ

“ดังนั้น….อย่างที่ว่ามาอะนะ คืนนี้ก็ไปหาที่หลับที่นอนเองล่ะกันนะพ่อคุณ!”

ฮันจิตบไหล่ป๊าบๆ อย่างไม่ออมแรง เพราะรู้ว่าผิวหนังและร่างกายของเพื่อนทนทานใกล้เคียงกับคำว่าฟันแทงไม่เข้าอยู่ไม่กี่มากน้อย

“แส่ไม่เข้าเรื่องยัยสี่ตา… เจ้าเด็กนั้นยังไม่เห็นจะว่าอะไรฉัน”

ถ้าไม่ติดว่าโตๆ กันแล้ว จากเสียงคำรามและเสียงขบฟันกรอดๆ อีกฝ่ายของพุ่งเข้ามาบีบคอเธอด้วยความฉุนเฉียวไปแล้วแหงๆ

หญิงสาวดันแว่นที่ตกลงมาเล็กน้อย ก่อนโบกนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าด้วยท่าทีเหมือนครูประจำชั้นที่ออกโรงห้ามไม่ให้เด็กในปกครองถลาออกไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท

จริงๆ จะว่าเข้าข่าย ‘ทะเลาะวิวาท’ ก็ได้อยู่นะ แค่เป็นแบบตัวต่อตัวเสื้อผ้าไม่เกี่ยวเท่านั้นเอง แถมยังเป็นแบบ ‘รุกเข้าทำ’ อยู่ฝ่ายเดียวซะด้วยสิ

“เฮ้! ลืมแล้วเรอะว่าเด็กนั้นช่วงนี้อาการไม่ค่อยดีน่ะ! หัดทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่สมกับหน้าตาเคร่งๆ นั่นหน่อยเถอะนาย จะทำงานหามรุ่งหามค่ำฉันก็ไม่ขัดหรอกนะ เพราะคนอดนอนมันนายคนเดียว…”

ฝ่ายคนสูงกว่าเหล่มองใบหน้ากรุ่นๆ ที่เหมือนภูเขาไฟจะปะทุ แล้วส่ายหน้าหนึ่งทีอย่างอ่อนอกอ่อนใจหนักหนา

“แต่นี่…. ตะบีตะบันทำอย่างกับไม่เคยเห็นผู้หญิงซะอย่างนั้น เป็นตาแก่หื่นกามหลงเนื้อสาวหรือไง?”

ปัง!

โคมไฟเหนือหัว เฉี่ยวศีรษะเธอไปนิดเดียวร่วงลงมา ประกายของเทียนที่เต้นไหวถึงเมื่อครู่ดับหายไป  หลงเหลือเป็นแค่หลักฐานตรงแท่งเทียนที่น้ำตาเทียนไหลเยิ้มค่อยๆ แข็งตัว มีประกายไฟวูบวาบริบหรี่ ก่อนจะโดนปลายเท้าขยี้ซ้ำดับให้สนิท

ฮันจิกลืนน้ำลายในลำคอ มือที่ถือตะเกียงสั่นจนทำให้แสงไฟตกลงบนใบหน้าอีกฝ่ายสั่นไหว หลอนขึ้นไปอีกระดับ

“ง่า… แค่เปรียบเปรยเฉยๆ เลือดจะไปลมจะมายังกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนไปได้!” …. ใจหายหมด

คำอุทธรณ์หลังนั่น ทำได้เพียงครวญในใจไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ เพราะถึงรู้ก็รั้งแต่จะไม่ใส่ใจเท่านั้นเอง

แหงล่ะ! พ่อคุณเคยสนหน้าอินทร์หน้าพรรหมที่ไหนด้วยเรอะ!!

ใช่ว่ารีไวจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองหมกมุ่นกับร่างกายอีกฝ่ายมากเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหน… หากไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาก็จะหวนคิดถึงร่ำไป

ความพยายามในการควบคุมตัวเองครั้งที่แล้วล้มเหลวและพังทลายไม่เป็นท่า

ปัจจุบันเลยปล่อยไปตามสัญชาตญาณที่เรียกร้อง…

มือไวกว่าปาก และปากก็ไวไม่ได้ต่างจากมือเท่าไหร่

ไม่แค่สมองคิด ร่างกายเองก็ต้องการ ยิ่งเมื่อได้รับการตอบสนองยิ่งเตลิดไปไกล

“ชิ!”

อดไม่ได้ที่จะสบถในลำคอ แล้วเดินจากไปทั้งอย่างนั้น

ฮันจิมองตามแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินหายไปในความมืดด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ค่อนข้างมั่นใจอยู่หลายส่วนว่าที่เป็นแบบนี้เพราะความสับสนในใจตัวเอง

สำหรับคนที่ไม่ได้นึกคิดจะผูกพันชีวิตกับใคร

…. ‘ความรัก’ เป็นเรื่องไกลตัว ….

การแต่งงาน… รับอีกคนส่วนหนึ่งในชีวิตโดยไม่คาดคิดมาก่อน มีเพียงความต้องการอยากครอบครอง ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องในการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาว

หนำซ้ำเจ้าตัวยังดูแยกระหว่าง ‘ความใคร่’ กับ ‘ความปรารถนา’ ไม่ออกอีกด้วย

“ก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ใครใช้ให้หมอนั่นเก่งแต่เรื่องจับดาบสู้กันล่ะ”

ฮันจิยักไหล่ ก่อนจะเดินกลับห้องไปอีกทาง

ท่ามกลางความเงียบในห้องที่แสงจันทร์แห่งค่ำคืนเล็ดลอดเข้ามาได้เพียงบางส่วน

เด็กสาวลืมตาโพลงในความมืดมิด นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองเพดานอิฐที่อยู่เหนือหัว พลางกระชับหมอนอีกใบเข้าหาลำตัว

….กลิ่นกายจางๆ ของหัวหน้ารีไวยังคงหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ปะปนไปกับกลิ่นไอของแดดอ่อนๆ

ไร้ไออุ่นของอ้อมแขนกับแผ่นอกกว้างที่โดนบังคับให้แนบชิดเช่นทุกคราว

ลมหายใจอุ่นที่เป่าระรดข้างขมับ…

….เสียงของหัวใจที่เต้นดังเป็นจังหวะหนักแน่นอย่างมั่นคง….

ไม่มีสักอย่างเลย…

ห้องและเตียงก็ยังดูกว้างกว่าทุกที… และอ้างว้างจนชวนให้เหงาจับใจ

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่องที่เอเลนรู้สึกว่าตัวเอง…. เหงาเหลือเกิน และเฝ้าภาวนาให้ยามเช้ามาถึงสักที

———————————————–

เปิดพรีออร์เดอร์ฟิค 花咲く少女 Hana saku Shoujo เล่มหนึ่งจ้าา

[PreOrder] FanFiction Lina&Hitorijanai For CA2/Post

[PreOrder] FanFiction Lina&Hitorijanai For CA2/Post

花咲く少女 Hana saku Shoujo [6]

花咲く少

Hana saku Shoujo

-6-

ฉันจะปกป้องนายเอง

ได้ยินเสียงที่กล่าวประโยคนั้นอย่างแผ่วเบา ใคร.. ใครกัน

เอเลน.. ฉันสัญญา

สายตาที่มองมาอย่างอ่อนโยน มือที่คอยประคองซึ่งกันและกันยามล้มลง เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่เหมือนสะท้อนมาจากสถานที่แสนห่างไกล

ฉันสัญญาว่าจะกลับไปหานาย

ประโยคนั้นทวนซ้ำไปมาอยู่ในโสตประสาท ราวกับจะตอกย้ำลงไปในอกด้านซ้าย

เพราะอย่างนั้น.. ได้โปรดรอฉัน

ใช่ ตัวเขาเองตอบไปว่าจะรอ จะรออีกฝ่ายกลับมา จะอยู่ตรงนี้เพื่อรอใครอีกคน

มีชีวิตรอฉันนะ

นี่คือเหตุของการดิ้นรนและต่อสู้ มีชีวิตเพื่อรอให้คำสัญญาเป็นจริง จนกว่าอีกฝ่ายจะกลับมา.. เขาไม่อาจตายได้ จะต้องมีชีวิตรอดเพื่อรอเธอ

มิคาสะ

มิคาสะ

ได้ยินเสียงฉันรึเปล่า ฉันยังอยู่ตรงนี้ ยังรออยู่นะ เพราะงั้น.. กลับมาได้แล้ว

สองมือไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า พอลืมตาตื่นก็พบเพียงเพดานสีซีดที่คุ้นเคย ในห้องไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต ไม่มีเสียงที่ดังกังวานเหมือนจริงในห้วงฝัน มีเพียงเธอเพียงคนเดียว

มิคาสะ.. ใช่ เมื่อกี้เธอฝันถึงมิคาสะ

ตอนนี้เพื่อนสมัยเด็กของเธอจะเป็นยังไงบ้างนะ อาจจะมีภารกิจให้ทำจนยุ่งหัวปั่นเลยก็ได้ เด็กสาวอีกคนไม่ค่อยได้แวะมาเพราะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานบางอย่างในกำแพงนั่น ดูเหมือนจะปลอดภัยแต่แท้จริงแล้วอันตรายยิ่งกว่าตนที่อยู่ในปราสาทท่ามกลางฝูงอมนุษย์เสียอีก

ในกำแพงนั่นไม่มีใครที่เชื่อใจได้ทั้งนั้น

เพราะงั้นจึงได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายปลอดภัย.. และกลับมาหาตนภายในเร็ววัน

พอยันกายลุกขึ้นก็ต้องพบกับความปวดหัวจี๊ดที่แล่นขึ้นมาจนทำสายตาพร่าเลือนไปชั่วขณะ เสื้อผ้ายังคงเป็นตัวเดิม แต่เธอรู้สึกสดชื่นกว่าตอนตื่นนอนครั้งแรก ลองเดาจากภาชนะใส่น้ำที่วางอยู่ข้างเตียงก็อาจเป็นเพราะมีใครบางคนเช็ดตัวให้เธอ

“เอเลน! ฟื้นแล้วเหรอเนี่ย ฉันตกใจแทบแย่เลยนะ”

โทนแหลมสูงดังตามมาหลังจากเสียงเปิดประตู เอเลนหันไปและพบว่าเป็นคุณฮันจิที่เข้ามาในห้อง ในมือของอีกฝ่ายมีถาดใส่ถ้วยเล็กๆมาด้วย พอจมูกได้รับกลิ่นมันก็ทำเธอท้องร้อง อาจจะเป็นข้าวต้มหรืออาหารอ่อนๆสำหรับคนป่วย

แล้วใครที่ป่วยกันล่ะ?

“กินซะ เด็กอยู่ในวัยกำลังโตแบบนี้ยิ่งต้องการสารอาหารเยอะกว่าปกติ รีไวนี่ก็ไม่ไหวเลย ให้เธออยู่แต่ในห้อง พอไม่ได้ออกกำลังกายร่างกายมันก็อ่อนแอเป็นธรรมดา” หญิงสาวพูดพร้อมถอนหายใจ

“อ่อนแอ?”

“อะไรกัน จำไม่ได้เหรอ? เธอน่ะอยู่ดีๆก็เป็นลมล้มพับลงไปเลย อ้อ ก่อนหน้านั้นมีอาเจียนด้วยนะ พวกฉันตกใจกันยกใหญ่ตอนรีไววิ่งมาบอกน่ะ”

เอเลนเริ่มจำได้รางๆว่าพอตนตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเวียนหัว และในที่สุดก็อาเจียนออกมา มันกะทันหันมากจนไม่ทันตั้งตัว กระเพาะบีบรัดและรู้สึกปวดแสบ พอรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว

เด็กสาวรับชามข้าวต้มจากอีกฝ่ายมา ควันที่ลอยอยู่บ่งบอกถึงความร้อน แต่เสียงท้องที่ร้องโครกครากทำให้มือขยับตักอาหารตรงมาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ย!”

“ใจเย็นๆสิเอเลน มันร้อนอยู่นะ”

ฮันจิตกใจเป็นระลอกที่สองเมื่ออีกฝ่ายรีบกินซะจนข้าวต้มร้อนลวกปากเข้าให้ เธอลอบยิ้มให้กับตัวเองเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตัวได้สมกับที่เป็นเด็ก ไม่เหมือนตอนที่อยู่กับรีไว ขานั้นเอะอะอะไรก็จะให้เด็กสาวทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจ ไม่เหลือพื้นที่ของเด็กอายุรุ่นลูกให้อีกฝ่ายเลย

เด็กน่ะต้องร่าเริงและสดใสสิ!

“เป็นอะไรไปเอเลน?”

เขาว่าคนที่ถูกนินทามักจะอายุยืนเพราะถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมาเร็วขนาดนี้ ฮันจิได้แต่ถอนหายใจ

รีไวเปิดประตูเข้ามาพอดีกับที่ได้ยินเสียงร้องของเด็กสาว ทีแรกเขาตกนึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรอีก แต่พอได้ยินอีกคนในห้องปรามถึงได้รู้ว่าคนของตนคงซุ่มซ่ามเหมือนทุกครั้ง

“ปะ เปล่าครับ” ..และปากแข็งไม่เปลี่ยน

“นายเคลียร์งานเสร็จแล้วเหรอรีไว?”

“ฉันไม่ได้แอบมาอู้เหมือนใครบางคนจนงานไม่เดินหรอกนะ”

ถ้าไม่ติดว่ามีเด็กสาวอยู่ข้างๆ ฮันจิคงจะกระโดดไปอัดหมัดเข้าไปใส่ผู้ชายตรงหน้า

“ฉันเอาข้าวต้มมาให้เอเลนต่างหากล่ะ! ถ้านายว่างแล้วก็มารับหน้าที่ต่อซะ เออร์วินก็เพิ่งกลับไปตอนฉันมานี่ล่ะ”

เอเลนแทบสำลัก ไม่คิดเลยว่าตนจะทำความลำบากให้หลายๆคนขนาดนี้ คุณฮันจิก็ต้องพักงานของตัวเองไว้ หัวหน้ารีไวก็ต้องหัวหมุนรีบทำให้เสร็จเพื่อกลับมาดู หัวหน้าเออร์วินยิ่งไม่ต้องพูดถึง.. คงจะยุ่งกว่าสองคนนี้หลายเท่า

เห็นอีกสองคนคุยกันต่อนิดหน่อย ส่วนเธอก็ค่อยๆตักอาหารในชามเข้าปากแทนที่จะจ้วงเอาๆแบบครั้งแรก เพราะกลัวจะโดนสายตาประดุจเหยี่ยวของหัวหน้ารีไวทิ่มแทงเหมือนตอนแรก

รีไวเองพอคุยเรื่องงานกับเพื่อนร่วมทีมเสร็จก็หันมาสำรวจเด็กสาว อีกฝ่ายหน้าซีดเหมือนกระดาษ มือเล็กที่จับช้อนและชามนั่นก็ดูสั่นเทาจนกลัวว่ามันจะหกลงมา มีเพียงเสียงเคี้ยวดังต่อเนื่องเท่านั้นที่บอกว่าอีกฝ่ายคงอาการดีขึ้นมากแล้ว

“เป็นยังไงบ้าง หืมม์?”

เนื่องจากตกใจกับการประชิดตัวแบบกะทันหันของอีกฝ่าย เด็กสาวเลยสำลักจนต้องทิ้งช้อนให้ลงไปนอนลอยอยู่ในชามเหมือนเดิม เสียงไอดังขึ้นอยู่ไม่นานก็หยุดลงเพราะคนที่เป็นต้นเหตุส่งแก้วน้ำมาให้

ระหว่างที่ของเหลวไหลลงคอ หัวยังคอยช่วยลูบหลังให้อีก ทำให้ในที่สุดทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันนี้มีกี่เรื่องแล้วนะที่ทำให้เธอตกใจ ทั้งเป็นลม อาเจียน ข้ามต้มร้อนลวกปาก และสำลัก

“ขอบคุณนะครับ”

เหตุการณ์ที่ทำให้ใจหายใจคว่ำถัดมาคือ.. หัวหน้ารีไวจูบเธอทันทีหลังประโยคนั้นจบ

แต่มันไม่ใช่จูบที่เคยได้รับเป็นประจำ อีกฝ่ายเพียงแตะริมฝีปากลงมาให้สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มและผละออกไป

“ถ้าจะขอบคุณล่ะก็.. หายเร็วๆน่าดีกว่านะ”

วินาทีถัดมาเด็กสาวก็ต้องรีบก้มหน้าหลบสายตาของอีกคน อุณหภูมิบนใบหน้าสูงปรี๊ดยิ่งกว่าความร้อนของข้าวต้มที่อยู่ในมือ มือไม้พันกันเป็นระวิงจนทำช้อนหลุดมือครั้งแล้วครั้งเล่า

รีไวเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางเงอะๆงะๆก็อดขำอยู่ในใจไม่ได้ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกไป

คนที่อยู่ข้างเตียงเมื่อเห็นว่าเด็กสาวประหม่าจนหยิบช้อนไม่ขึ้นซักที จึงย้ายที่นั่งจากเก้าอี้ไปเป็นบนเตียง มือใหญ่ช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นมานั่งเกยตักตนเองทันทีโดยไม่ฟังเสียงประท้วง

“ดะ เดี๋ยวครับหัวหน้า!”

เอเลนร้องเสียงหลงเมื่อหัวหน้าของตนทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะกลัวชามข้ามต้มจะหกเลยกลายเป็นว่าปล่อยให้อีกคนทำอะไรก็ได้ ตอนนี้เธอจึงถูกจัดท่าให้นั่งพาดอยู่บนตักของอีกฝ่าย

รีไวเริ่มขัดใจเมื่อเด็กสาวทำท่าจะผละออกไป แต่มีหรือที่เขาจะยอม เขาใช้ฝ่ามือกดตัวร่างเล็กไว้ไม่ให้ขยับได้ ขณะที่อีกมือเอื้อมไปคว้าช้อนขึ้นมาแทนคนป่วย

“กินให้หมดเสียที ยัยฮันจิจะได้ไม่เสียใจที่อุตส่าห์ทำข้าวผสมน้ำมาให้”

ขนาดเธอไม่ใช่คุณฮันจิ แต่ฟังแล้วยังเจ็บแทน

รสชาติมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น.. หรือเธอหิวก็ไม่รู้

ที่ตกใจกว่าคือมือใหญ่ที่ประคองช้อนและนำมันมาแตะที่ริมฝีปากตน พอไม่อ้าปากก็ถูกอีกฝ่ายขู่ว่าจะให้กรอกลงไปทั้งชามแทน จึงรีบอ้าปากและกินอย่างรวดเร็วคำแล้วคำเล่า

พอเห็นเด็กสาวก้มหน้าก้มตากิน รีไวก็รู้สึกพอใจพลางยกยิ้มให้กับตัวเอง

แต่สำหรับเอเลนแล้ว หัวหน้าของเธอคงไม่รู้หรอกมั้งว่าที่ตั้งใจกินขนาดนี้เพราะไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่ายต่างหากเล่า

รอยยิ้มที่อ่อนโยนนั่น.. ทำให้ทั้งร่างกายเธอร้อนไปหมด

ชายหนุ่มมองเด็กสาวที่ตั้งอกตั้งใจกินอาหารที่เขาประคองป้อนถึงปากด้วยแววตาอ่อนแสง บนเรียวปากผุดรอยยิ้มบางตลอดเวลา

แน่นอนว่าในระยะที่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ทุกปฏิกิริยาของเด็กสาวย่อมไม่รอดพ้นสายตา

ไม่ว่าจะสองข้างแก้มที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ นั้นที่กำลังขึ้นสีระเรื่อน้อยๆ ไล่ไปขึ้นจนใบหูแดงก่ำ หากเป็นยามปกติคงได้ทักหยอกเย้าอีกฝ่ายให้เขินอายจนแสดงสีหน้าน่าเอ็นดูมาให้บันเทิงใจเล่น เสียแต่ยังป่วยอยู่มาก

ดวงหน้านวลค่อนข้างซีดเซียว แม้จะมีเลือดฝาดขึ้นมาบางแล้ว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี

วินาทีที่เห็นร่างเพรียวบางที่นอนพิงพาบไปกับพื้นหินเย็นจัดด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ เนื้อตัวเย็นเฉียบไม่นุ่มอุ่นเหมือนเคย และเปลือกตาที่ปรือปรอยปิดลงไปต่อหน้าต่อหน้า

ใจเขาแทบขาดลงไปตรงนั้น

ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนพุ่งเข้ามาทิ่มแทงหัวใจราวกับเข็มแหลม

กลัว…กลัวจะสูญเสียคนในอ้อมแขน

หวั่นเกรงว่าเจ้าของร่างนี้จะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีก

เสียงที่เรียกขานนามเขาอย่างอ่อนโยนและใสซื่อ บริสุทธิ์ใจยิ่งกว่าใคร ดวงตาสีเขียวมรกตสดใสเจิดจ้าเปี่ยมชีวิตชีวา

กลัว….กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้เห็น

และจะไม่ได้สัมผัสมือกันอบอุ่นที่เกาะกุมไว้อย่างอ่อนโยนของเด็กคนนี้ไปตลอดกาล

แม้ภายนอกจะเข้มแข็งเพียงไร และแม้จะผ่านการสูญเสียมามากมายแค่ไหน แต่ใจดวงนี้ก็ไม่เคยคุ้นชิน

….ไม่เลยแม้แต่น้อย

เขาสูญเสียสหายและคนสำคัญไปมากมาย จนไม่อาจรับความรู้สึกวูบโหวงว่างเปล่า ยามถูกกระชากดวงใจออกไปทั้งเป็นได้อีกต่อไปแล้ว

ปลายนิ้วเกลี่ยมุมปากที่มีหยดน้ำข้าวออกให้อย่างเบามือ ปัดผ่านกลีบปากหยักเล็กสีอ่อนแผ่วเบาและทะนุถนอมราวกับกำลังสัมผัสเครื่องแก้วเนื้อบาง ก่อนจะส่งมันเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย

“จืดสนิท… ยัยสี่ตานั้นทำอาหารห่วยชะมัด”

ดวงตาสีเขียวคู่โตกะพริบถี่ ตาโตๆเบิกกว้างขึ้นจนรูม่านตาขยายกว้างด้วยความตกใจปนคาดไม่ถึง น่ารักน่าใคร่เสียแทบอดใจไว้ไม่อยู่ กว่าจะรู้สึกตัวก็เขินจนก้มหน้างุดลงไปอีกรอบ มือขยุ้มกำผ้าห่มผืนหนาบนหน้าตักแน่น

จะ…จูบทางอ้อมอ่าาา

ใบหน้าแสดงสิ่งที่คิดออกมาอย่างใสซื่อ ถ้าไม่ติดว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ เด็กนี่คงฟุบหน้าลงไปทุบหมอนรัวๆ แล้ว

รีไวกลั้วหัวเราะในลำคอ นึกขันกับความไร้จริตและอ่อนเดียงสาของ-เจ้าสาว-ที่อายุน้อยกว่า ทั้งที่มีความสัมพันธ์กันไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา เด็กคนนี้ก็ยังเขินอายและตอบสนองอย่างไร้จริต เช่นเดียวกับครั้งแรกเสมอ…

“หะ…หัวหน้า”

นี่ก็เหมือนกัน… เสียงตื่นๆ เจือปนระหว่างความกล้ากับกลัว ยามถูกแตะต้อง นิ้วมือออกแรงช้อนเพียงนิด ใบหน้าเนียนที่ก้มต่ำก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

สีเขียวใสสบกับสีเทาจาง…ตัดกันราวกับหมอกสลัวในที่คลี่คลุมหมู่แมกไม้ในพงไพรยามอรุณรุ่ง

และค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันด้วยแรงดึงดูดตามความรู้สึกลึกซึ้งที่มีแก่กันอย่างช้าๆ

สัมผัสนุ่มอุ่นแนบประทับลงบนหน้าผากเนียนผ่อง ลมหายใจร้อนระรดผะผ่าว อวลด้วยกลิ่นไอหอมสะอาดอันเป็นเอกลักษณ์ของใครอีกคน

“พักผ่อนซะ เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก” หัวหน้ารีไวยังคงใช้คำสั่งเด็ดขาดกับตนเหมือนเดิม แต่ว่า..

“แต่ผมยังไม่ง่วงเลยนะครับ”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เป็นปฏิกิริยาที่เอเลนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น ยังไงก็แล้วแต่.. ถ้าจะให้นอนตอนนี้ยังไงก็นอนไม่หลับอยู่ดี เธอเพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา พอเป็นลมไปก็ได้นอนต่อ และการลืมตาดูพระอาทิตย์ไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องล้มตัวลงนอนอีกคงไม่ดีต่อสุขภาพนัก

“คุณฮันจิเองก็บอกให้ผมออกไปออกกำลังกายบ้างไม่งั้นจะอ่อนแอไปกว่านี้” ใช่ เธอเองก็เบื่อที่จะอุดอู้อยู่แต่ในห้องแล้วด้วย

“อยากง่วงรึเปล่าล่ะ?”

เอเลนไม่เข้าใจความหมายแฝงของประโยคนั้นจึงได้แต่เอียงคอทำหน้างง ถ้าไม่ง่วงแล้วจะทำให้ง่วงได้ด้วยเหรอ?

และถ้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนก็คงยอมห่มผ้า คลุมโปง และหลับตาไปแต่โดยดี

ผู้เป็นหัวหน้าวางชามข้ามต้มที่ถูกจัดการจนเกลี้ยงไว้บนโต๊ะหัวเตียง ในเมื่อเด็กสาวของตนไม่ยอมนอนแต่โดยดี ก็คงต้องใช้วิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายหลับสบายไปอีกหลายชั่วโมงแทน

 

จะมาว่าฉันใจร้ายไม่ได้นะ

“เห็นแก่ว่ายังป่วยอยู่ จะยังไม่เต็มที่แล้วกัน”

“ยะ อย่า อ๊ะ..”

ใต้เสื้อนอนตัวโคร่งที่สวมใส่เพียงตัวเดียว ฝ่ามือของอีกฝ่ายลากไล้จากหัวเข่าสูงขึ้นมาจนเนื้อผ้าเกิดรอยย่น เอเลนเกร็งตัวทันทีเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป “หะ หัวหน้า อย่านะ.. ยะ อย่าถอดครับ!”

ปลายนิ้วหยุดลงเมื่อเจอเป้าหมายที่ต้องการ ตวัดเกี่ยวขอบชั้นในตัวบางและจับมันเลื่อนลงมาตามเรียวขา เด็กสาวพยายามดิ้นแต่กลายเป็นยิ่งส่งผลให้เนื้อผ้าชินน้อยหลุดออกไปจากตัวไวขึ้น

พอเนื้อผ้าบางเคลื่อนตัวมายังบริเวณเข่า มือใหญ่จึงหยุดเพียงแค่นั้น ร่างเล็กผ่อนลมหายใจแสดงความโล่งอก.. แต่ก็มีเวลาให้พักเพียงชั่วครู่เท่านั้นเมื่อสัมผัสหยาบเริ่มไต่ตามต้นขาขึ้นไปสู่ด้านบนดังเดิม

“แฉะขนาดนี้แล้ว ยังบอกให้หยุดอีกเหรอ?”

เสียงหยอกเย้าดังขึ้นเมื่อฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณเนินเนื้อกลางลำตัวของเด็กสาว ปลายนิ้วลากวนให้ของเหลวปาดป่ายด้านหน้าเพื่อแกล้งอีกฝ่าย ความลื่นเป็นตัวบ่งชี้อย่างดีว่าอีกคนพร้อมแค่ไหนกับการกระทำนี้

เอเลนหน้าแดงและซุกมันลงกับแผ่นอกอีกฝ่าย จะให้บอกได้ยังไงว่าเธอมีความรู้สึกที่ไวขึ้นกับเรื่องพวกนี้เมื่อได้อยู่กับหัวหน้ารีไว ก็มันเพราะใครกันล่ะ..

“เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอครั.. อะ”

คำถามถูกกลืนหายไปกับเสียงครางที่ดังแทรกเพราะการสอดตัวของปลายนิ้วยาว รีไวรำคาญที่อีกฝ่ายเอาแต่พูดจึงตัดบทเสีย

ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้มองเห็นเด็กสาว.. มากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ

แต่ตอนนี้จุดประสงค์มีเพียงทำให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

เมื่อจังหวะเริ่มเร็ว อุณหภูมิในตัวก็เริ่มสูงขึ้น นิ้วร้อนละเลงรัวอยู่ภายใน เอเลนทำได้เพียงครางเหมือนลูกแมวอยู่บนตักหัวหน้าของตน เรียวขาปัดป่ายไปทั่วเหมือนหาที่ยึด ส่วนมือทำได้เพียงกำเสื้ออีกฝ่ายแน่นจนยับยู่ยี่

รีไวจับลำตัวเด็กสาวให้เปลี่ยนมานั่งคร่อมตนไว้เพื่อให้ถนัดมือ มือเล็กที่เกาะกุมหัวไหล่ทั้งสองข้างใช้ปลายเล็บจิกลงมา แต่ตนก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน กลับยิ้มเมื่อได้รับรู้ถึงแรงอารมณ์ของคนที่ไม่เคยเอ่ยปากร้องขอ

“อ๊า!!!”

ของเหลวไหลทวนมือของตนจนทะลักออกมาสู่ด้านนอก เด็กสาวตรงหน้าหายใจหอบ ทั้งตัวแดงราวกับระเบิดออกมา แต่ผู้เป็นหัวหน้าทำเพียงประกบริมฝีปากอ้อยอิ่งที่ข้างแก้ม ก่อนมือใหญ่จะสวนกลับเข้าไปใหม่

เอเลนหอบครางไปตามแรงสะเทือนภายใน เธอคิดว่ามันแปลกที่อีกฝ่ายใช้เพียงมือเท่านั้น ทั้งๆที่ปกติหัวหน้าจะใช้มือเพียงครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นจะตามมาด้วย..

“อะ ฮะ.. อ๊า!!!”

ความคิดถูกขัดเมื่อเป็นอีกครั้งที่ตนปลดปล่อยอารมณ์ออกมา ปลายนิ้วที่กระชากและดึงรั้งไปตามช่องทางด้านในทำให้เธอไปถึงสุดปลายทางแล้วถึงสองครั้ง

รีไวต้องสะกดอารมณ์ตัวเองเมื่อได้เห็นคราบของเหลวไหลลงมาตามเรียวขาของอีกร่างเล็ก พยายามหลับตาจินตนาการว่านิ้วของตนได้ทดแทนความคับแน่นที่อยู่กลางลำตัว

“หะ หัวหน้า.. อ๊ะ ใช้แค่นะ นิ้ว.. อะ.. เหรอครับ?”

แม้จะถูกปรนเปรอจนหัวหมุน แต่เอเลนรู้ดีว่าคนตรงหน้าต้องอดทนเพียงใด เธอไม่อยากเห็นคิ้วที่ขมวดนั่น ทั้งยังริมฝีปากที่ขบกัดเข้ากันอีก ถ้าอีกฝ่ายอยากปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเอง.. เธอก็เต็มใจเหมือนทุกครั้ง

“อ๊ะ”

โดยไม่ปล่อยให้เด็กสาวได้พูดอะไรอีก รีไวผลักอีกฝ่ายลงไปนอนราบและปลดกางเกงของตนลง ความตั้งใจที่ทำมาได้สลายหายไปเพียงเพราะประโยคคำถามของอีกคน

“คราวนี้จะได้นอนยาวเลยล่ะ เอเลน เยเกอร์”

คราวนี้เอเลนรู้แล้วว่าอีกฝ่ายสามารถทำให้ตนง่วงได้อย่างไร

“อา.. อะ ละ ลึกอีก”

เตียงสั่นไหวด้วยแรงขับเคลื่อนของพวกเขาทั้งคู่ จากในตอนแรกที่ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อย.. เด็กสาวเริ่มอ่อนล้าไปตามความหนักหน่วงที่อีกฝ่ายถาโถมร่างกายเข้ามา แม้ดวงตาจะปรือปรอยแต่ริมฝีปากยังคงส่งเสียงครางออกไปไม่หยุด

“อา ฮะ.. ฮ้า!!!”

ความอุ่นวาบไล่จากกลางลำตัวขึ้นมาสู่ท้องน้อย หลังจากนั้นหัวหน้ารีไวก็ถอนตัวออกไป ความจุกเสียดที่ยังไม่จางหายทำให้เธอนอนหอบหายใจอยู่อย่างนั้น

เหนื่อย.. จนหลับตาลงได้อย่างเต็มใจ

แล้วก็อดใจไม่ไหวจนได้…

ถึงส่วนหนึ่งจะเพราะต้องการให้เด็กสาวได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็เถอะ แต่สุดท้ายเขาก็ทำจนถึงที่สุดไปจริงๆ

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยห้ามตัวเองได้สักที…

ชายหนุ่มครุ่นคิด ขณะวางมือลงบนศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดตัดสั้น ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามกลุ่มไหมนุ่มสลวย แสงแดดจางๆ ที่ทอดลงมาขับใบหน้าที่หลับพริ้มให้ดูอ่อนวัยลงเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่ประสีประสาสิ่งใด

“รี..รีไว…หัวหน้า…รีไว”

เสียงครางแผ่วครวญราวลูกแมว ทำให้หยุดมือลงอย่างกะทันหัน ความยินดีเต็มตื้นขึ้นในอกกับเสียงใสและรอยยิ้มบนใบหน้านั้น

ทั้งในยามที่หลับฝันก็ยังมีเขาอยู่ในนั้น….

และเป็นอีกครั้งที่อดใจไว้ไม่อยู่

แผ่นอกเล็กยังคงสะท้านไหวอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับจังหวะหายใจ เอเลนหลับลึกไม่รู้สึกตัวเลย ยามที่ใบหน้าของเขาโน้มลงแตะหน้าผากของเจ้าตัว

แพขนตาสีเข้มทาบทับบนแก้มขาวนวล ใต้เปลือกตาคู่นั้นมีดวงตาสีเขียวใสราวลูกแก้วบรรจุอยู่ภายใน

รีไวทาบริมฝีปากแตะลงบนเปลือกตาบางแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนลงมาจุมพิตบนริมฝีปากที่เผยออ้าเล็กน้อยรับอากาศหายใจ หากไม่ได้สอดแทรกเข้าไปลิ้มรสชาติอันหอมหวานของโพรงปากนิ่มเช่นทุกครั้ง เนื่องด้วยเกรงอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาซะก่อน

“ฝันดีนะ…เอเลน”

::ด้านหนึ่ง::ิ

หญิงสาวในชุดเตรียมพร้อมกำลังนั่งพาดขาไปกับโต๊ะทำงาน หัวสีน้ำตาลออกแดงที่มีหางม้าน้อยๆ แกว่งไกวไปตามแรงโยกตัว

ในมือเป็นเอกสารของงานประจำวัน หากสิ่งที่กำลังแล่นอยู่ในสมองอันชาญฉลาดของนักวิจัยไททันสาวกลับเป็นอย่างอื่น

ไอ้อาการหน้ามืดตาลาย วิงวอนตอนเช้านี่มัน….คุ้นๆ เอาการน่า~

คลับคล้ายคลับคลาว่าไม่น่าใช่อาการป่วยปกติทั่วไปหรือความอ่อนเพลียที่สั่งสมจากการไม่ออกกำลังจนทำให้ร่างกายอ่อนแอ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก… และแล้วเอกสารในมือถูกละเลยโดยสมบูรณ์ เมื่อผู้มีหน้าที่ต้องพิจารณาวางโยนลงกับโต๊ะไม่ใส่ใจ

นิ้วเรียวเกี่ยวปากกาที่ใช้ขีดเขียนลงเคาะกับโต๊ะไม้ประหนึ่งเป็นผืนกลอง ดวงตาหรี่ลงใช้ความคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ประมวลผลขึ้นประกอบกันทีละน้อย

ลำดับเวลา…การกระทำ…อาการที่แสดงออกมา….

“เฮ้ย! หรือว่าจะ…..!?”

มือทุบโต๊ะเสียงดังปัง พาให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้เคียงสะดุ้งโหยงแอบโอดในใจว่า ‘หัวหน้าหมู่ฮันจิ…อีกแล้วไงล่ะ!’ ยิ่งมีรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัวราวกับสมอารมณ์อย่างแรงนั้นยิ่งแล้วใหญ่ พาลให้ขนแขนลุกชูชันทั้งตัวเลยทีเดียว

“เอะอะเสียงดังอะไรกัน? ยัยแว่นโรคจิต”

เสียงทุ้มต่ำเรียบเย็นอันทรงอำนาจพูดโพล่งตัดกระแสความคิดของคนในห้อง เรียกความสนใจไปหาร่างที่ไม่สูงใหญ่ แต่แข็งแกร่งที่สุดเป็นตาเดียว

รอยยิ้มหวานน่าขยาดผุดขึ้นบนริมฝีปากของหญิงสาวผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมู่

“นายว่าเด็กเล็กๆ น่ารักมั้ยรีไว?”

….คำถามที่ไม่คาดคิด ส่งผลให้คิ้วขมวดหม่นด้วยความไม่พอใจ เขากะมาถามไถถึงอาการของเอเลนอย่างละเอียดกับคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดอย่างยัยนี่ แต่กลับมาเจอท่าทางกวนส้นนี้ซะได้

คิดบ้าบออะไรขึ้นมาได้อีกล่ะ? ยัยสี่ตา!!

TBC.

Talk Zone : จริงๆ ทุกคนก็น่าจะพอเดาได้แล้วเนอะคะ? ว่าเอเลนป่วย?เป็นอะไร ฮา แต่เราก็จะอุบเงียบต่อไป เจอกันตอนหน้าค่าา ไม่น่าเกินวันศุกร์นี้ เพราะ Hitoriฯ นางบอกจะไปแต่งต่อแล้ววววววว

花咲く少女 Hana saku Shoujo -Secret- [Special Part]

花咲く少女

Hana saku Shoujo

-Secret-

Pairing : Erwin x Eren(C)

Author by  Hitorijanai

อีกนานแค่ไหนกันนะ?

หนึ่งอาทิตย์ที่นานเหมือนแรมปี.. นานเสียจนเธอคิดว่านี่เป็นฝันร้าย หากตื่นขึ้นมาก็อาจจะลบภาพเหล่านี้ไปได้

แต่น่าเสียดายที่เธอกำลังตื่นอยู่ ฝันร้ายอันแสนยาวนานนี้จึงไม่อาจจบลง

หัวหน้ารีไวไม่เคยย่างกรายเข้ามาในห้องนี้อีกเลย เอเลนคิดว่าอีกฝ่ายโกรธตนอยู่ แต่จะโกรธด้วยเรื่องอะไรล่ะ?

เธอนอนคนเดียวมาตลอด แต่ความปวดหนึบที่อกด้านซ้ายคืออะไรและมาจากไหน ทุกครั้งที่มองพื้นที่ว่างเปล่าข้างกายยิ่งทำให้ลมหายใจติดขัด

อยากเจอ

อยากเห็นหน้า

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินเมื่อนึกถึงแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆเคลื่อนกายออกไปจากห้องนี้

..ทว่าเสียงเคาะประตูดังขัดห้วงความคิดแสนเศร้าเสียก่อน

“เอเลน นี่ฉันเอง”

เสียงเรียกชื่อดังก้องอยู่ด้านหน้าบานไม้อันเย็นเยียบ

………

ร่างเล็กผลักร่างสูงใหญ่ล้มลงและเป็นฝ่ายทาบทับ จนได้เห็นสีหน้าตะลึงอ้าปากค้างของตนสะท้อนอยู่ดวงตาคู่โต
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?

“ดะ เดี๋ยวก่อน! จะทำอะไรน่ะเอเลน!?”

เอลวินที่ตั้งใจจะเข้ามาดูอาการเด็กสาวที่เซื่องซึมกลับต้องเป็นฝ่ายตะลึงเมื่อลูกน้องคนสำคัญของหน่วยผลักเขาจนล้มลงไปบนเตียง ก่อนจะขยับร่างกายมานั่งทับบนลำตัวของเขาอย่างรวดเร็ว
มือที่กำลังจะทาบลงไปบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายกลับกลายเป็นตวัดดันอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไป

เห็นว่าเด็กสาวมีอาการเซื่องซึมมากกว่าปกติเลยอดไม่ได้ที่จะเข้ามาถามไถ่ดูอาการ

แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
และตนยังเพิ่งสังเกตด้วยว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในชุดนอน.. ซึ่งล่อแหลมพอสมควร

คอเสื้อตัวยาวเปิดกว้างจนเผยเนินอกขนาดใหญ่พอสมควรสำหรับเด็กวัยนี้ บางครั้งที่เอเลนขยับตัวจนผ้าเนื้อหยาบดึงรั้งยังทำให้ได้เห็นเม็ดอกสีอ่อนลอดผ่านรอยแยกของเนื้อผ้าออกมา และด้วยความเบาบางจึงยิ่งปรากฏสีหวานให้เห็นเด่นชัด

ที่สำคัญที่สุด.. คือการเสียดสีบริเวณกึ่งกลางลำตัวของทั้งอีกฝ่ายและตัวเขาเอง

“หัวหน้า..”

เอลวินคิดว่าอีกฝ่ายดูเลื่อนลอย คำว่าหัวหน้าของคนตรงหน้าหมายถึงใคร.. เขาหรือรีไว?

แค่คิดมาถึงตรงนี้ก็อดเกร็งตัวขึ้นมาไม่ได้ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่

“ลุกออกไปนะเอเลน”

คำสั่งที่นอกจากจะไม่ได้ผล ซ้ำยังทำให้เด็กสาวยิ่งบดเบียดร่างกายลงมาเป็นการขัดคำบัญชาอย่างชัดเจน

“อา อ้า..”

สะโพกที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้ากดตัวลงต่ำติดกับกลางลำตัวของคนเป็นผู้บังคับบัญชา เนื้อผ้าที่เสียดสีวนเวียนไปมาทำให้เอลวินรู้สึกได้ว่าร่างกายตนกำลังถูกปลุกให้ ‘ตื่น’

ความแข็งขืนเริ่มโป่งนูนหมายจะแทรกตัวออกมาด้านนอก แต่เมื่อโดนเนื้อผ้ากั้นขวางไว้จึงไม่อาจทำได้ดั่งใจ

เอลวินแทบคลั่งเมื่ออีกฝ่ายไล้วนสะโพกของตนไปมาในบริเวณนั้นอย่างรุนแรง แถมมือเล็กยังจิกเกร็งบนหน้าท้องของเขา ความอ่อนนุ่มที่สัมผัสได้แม้เพียงบางเบาทำให้เขารู้ทันทีว่าใต้เสื้อนอนตัวยาวนั้นคือความเปลือยเปล่า

“ออกไปนะเอเลน!”

เมื่อการออกคำสั่งไม่ได้ผลก็ต้องใช้กำลัง แต่มันผิดพลาดเมื่อเขาลืมไปเพียงเสี้ยววินาทีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ชาย

ถ้าเขานึกออกเร็วกว่านี้.. คงไม่ต้องเบิกตาโพลงเป็นครั้งที่สองในรอบวัน

มือทั้งสองที่ควรจะสัมผัสกับแผ่นอกเรียบของเด็กหนุ่มและผลักออกไป กลับกลายเป็นเนินเนื้ออวบที่ถูกกอบกุมไว้เต็มกำมือ

และที่สำคัญ.. สัญชาตญาณในตัวยังสั่งให้บีบมันอย่างแรง

“อะ หะ หัวหน้า..”

สะโพกที่กดทับร่างกายตนหยุดชะงัก เอลวินเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าและเผยอปากน้อยๆเพื่อรับอากาศ

“ขะ ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งจะ..เดี๋ยวก่อน!”

เมื่อเขาคลายมือและกำลังจะล่าถอย เอเลนกลับดึงมือคู่ใหญ่ของตนกลับไป

และอีกครั้งที่สัญชาตญาณของผู้ชายมันร่ำร้องให้ทำแบบเดิม

ทว่าคราวนี้ไม่ได้เป็นการสัมผัสผ่านวัตถุเนื้อหยาบ แต่เป็นการกอบกุมเนื้อแน่นไว้ในกำมือโดยตรง ฝ่ามือคืบคลานตามแนวผ้าเพื่อค้นหาสิ่งที่หมายไขว่คว้าจนก้อนเนื้อที่อวบอิ่มได้เผยสู่สายตา เอลวินคิดว่าตนพลาดท่าอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะเมื่อได้สัมผัสก็ไม่อาจปล่อยมือได้อีกต่อไป

“อา.. แรงอีกสิครับ.. อะ อย่าดูด.. อ๊ะ!”

ไม่มีคำพูดใดจากผู้มีตำแหน่งสูงสุดในหน่วยสำรวจนอกจากเสียงดูดดึงอันน่ารังเกียจที่ดังไปทั่วห้อง เพียงพริบตาที่ลูกเชอร์รี่สีหวานทั้งสองสะท้อนอยู่เบื้องหน้า เอลวินก็ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป

ปลายลิ้นตวัดไล้ให้เปียกชื้น ฟันกัดขย้ำเนื้อนิ่มตั้งแต่โคนจรดเม็ดใสที่ตั้งชัน แรงตัณหาเข้าครอบงำจนถลำลึก ไม่อาจปลดปล่อยริมฝีปากจากขนมหวานที่ตนครอบครองได้

มือที่บีบเค้นเรียกเสียงครางได้ไม่น้อย แต่เมื่อลิ้นของเขาตวัดเพียงแผ่วเบากลับมีวาจาแห่งคลื่นอารมณ์ออกมาจากปากบาง

“อ๊า..จะมา..อ๊ะ! มาแล้..”

เอลวินไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร มือข้างหนึ่งและริมฝีปากยังคงลิ้มลองความแน่นตึงของเนื้อสาวไม่หยุด ในขณะที่อีกข้างไล้ไปตามแผ่นหลัง เลื่อนลงไปตามส่วนโค้งเว้า และในที่สุด..

เอลวินก็ได้รู้ว่าอะไรจะมา

“ระ แรง.. แรงอีกครับ!”

บริเวณสะโพกแน่นตามวัยของเด็กสาวมีความเปียกชื้นของเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาตามอุณหภูมิของร่างกาย

พอเมื่อไล้มือไปตามแนวร่องบั้นท้าย จากบนสู่ล่าง และส่วนที่ลึกที่สุดนั้น..

“มะ ไม่ไหว..”

เสียงครางหวานยังคงสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของเขา เด็กสาวขยับลำตัวไปมาเมื่อพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมพยายามรุกล้ำข้างใต้ร่มผ้า

มือของเขายังคงหยุดอยู่เพียงบั้นท้ายกลมกลึง มันชะงักเพราะแตะไปโดนคราบเหนียวของอะไรบางอย่างบริเวณโคนขา ทั้งยังมีการเคลื่อนตัวของของเหลวลงมาไปหยุดจนมือของตนเปียกชุ่ม

นี่มัน..
ความคิดยังไม่ถูกประมวล ร่างเล็กยืดตัวขึ้นและใช้มือข้างหนึ่งถกปลายเสื้อที่คลุมสะโพกให้เปิดออกกว้าง

ภาพที่ได้เห็นตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มใจสั่นระรัว เขาแทบกัดลิ้นตัวเองเมื่อต้องพยายามอดทนกับสิ่งที่เผชิญอยู่ แม้จะเคยได้เห็นมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองอย่างเต็มตา

ท่อนขาเรียวสวยสองข้างที่ไร้สิ่งใดปกปิดมีดอกไม้แสนงามประดับอยู่ตรงกลางโดยมีกลุ่มขนเบาบางช่วยบดบัง เนื้ออ่อนสั่นระริกและค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสัมผัสอากาศด้านนอก

ทว่าสิ่งที่เอลวินกำลังจดจ่อกลับเป็นการเผยอตัวของกลีบสาวแรกรุ่น สายตาสะท้อนความวาวฉ่ำเยิ้มด้านใน ทั้งก่อนหน้าจนกระทั่งตอนนี้ของเหลวที่ตนสัมผัสได้ก็ยังคงแทรกตัวออกมาด้านนอกไม่หยุด

ราวกับว่าพวกมันกำลังเชิญชวนให้เข้าไปดื่มด่ำน้ำหวานภายใน

“..ช่วย..ผมด้วย..ครับ”

หากเอเลนเป็นแมว เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายมีอาการติดสัด แต่คงไม่ใช่เพราะแมวจะเข้ามาคลอเคลีย ทว่าอีกฝ่ายกลับอยู่นิ่งและเชิญชวนเจ้าของให้เข้าไปหาด้วยตัวเอง

“ได้โปรด..หัวหน้าเอลวิน”

เส้นสติหลุดลอยทันทีเมื่อได้ยินชื่อตนจากปากอีกฝ่าย คำว่าหัวหน้านั้นหมายถึงเขาตั้งแต่แรก ไม่ใช่รีไว

เมื่อเป็นเช่นนั้น.. ฝ่ามือใหญ่จึงเคลื่อนตัวเข้าหาร่างกายเด็กสาวตามสัญชาตญาณ

ความนุ่มลื่นคือสิ่งแรกที่สัมผัสได้ เหมือนกับครั้งนั้นที่เขาโดนบังคับให้แตะต้องส่วนสำคัญของเด็กสาวจนสะดุ้งตกใจ แต่ครั้งนี้แฝงมาด้วยความตื่นเต้นผสมกับความดีใจในเนื้ออ่อนที่ฝ่ามือประกบทับ

ปลายนิ้วทั้งห้าลากผ่านแผ่วเบาจนรู้สึกได้ว่าคนด้านบนเกร็งตัวแน่นและกลีบที่บานแย้มรับในทีแรกได้หุบลง

เด็กสาวเปลี่ยนเป็นฝ่ายนอนทอดกายอยู่ด้านล่าง ขาเรียวทั้งสองแยกออกกว้างเปิดเผยความเป็นหญิงสาวที่ปลุกห้วงอารมณชายหนุ่มให้ตื่นจากการหลับใหล

เอลวินใช้ปลายนิ้วชี้สะกิดเบาๆบริเวณรอยปิด จากนั้นตวัดไปมาเพื่อหยอกล้อให้ผ่อนคลาย

ในที่สุดกลีบเนื้ออ่อนก็เปิดทางให้ตนอีกครั้ง

“อะ อ๊ะ..”

คนเป็นหัวหน้ารู้ดีว่าตรงไหนที่จะเรียกเสียงครางแผ่วเหมือนลูกแมวตัวน้อยได้เพราะตนก็เคยผ่านเรื่องทำนองนี้มาบ้าง แต่กับเด็กสาวตรงหน้าแล้วไม่ว่าจะแตะตรงไหนก็เรียกเสียงร้องรัญจวนได้เสมอ

นิ้วเรียวยาวแทรกตัวเข้าไป แทบจะลืมหายใจเมื่อโพรงเนื้อตวัดรัดและดูดกลืนให้สอดลึกเข้าไปชั้นใน

จะดีแค่ไหนถ้าได้แหวกว่ายไปในช่องทางแห่งอารมณ์นี้ตลอดไป

จากด้านนอก รุกล้ำเข้าสู่ภายใน

จากหนึ่ง เป็นสอง

จากสอง เป็นสาม

ร่างสูงส่งแรงกระทุ้งและงอปลายนิ้วตวัดไปมาเพื่อหยอกล้อกับพื้นผิวที่ตนได้ครอบครอง

“อะ ฮ้า”

ช่องทางแสนนุ่มขยับรัดตรึงหัวใจให้แทบหยุดเต้น

“อ๊ะ! ตรง..นั้น”

เมื่อล่าถอยออกมา ปลายนิ้วทั้งสามจึงจิกส่วนอ่อนไหวและดึงรั้ง นิ้วจากมือข้างที่เหลือจึงถูกส่งตัวมาเป็นฝ่ายเคลื่อนเข้าหาปากโพรงฉ่ำ

ภายในที่สั่นสะเทือนเรียกเสียงครางหวานได้ดียิ่งกว่าอะไร

“อะ มะ..มาแล้ว อ๊าาาาา!”

แผ่นหลังบางแอ่นโค้งจนหน้าอกของเด็กสามกระเพื่อมไหว สะโพกเนื้อแน่นสั่นเทาและกระตุกอย่างแรงเมื่อถึงปลายทางแห่งอารมณ์

เอลวินสัมผัสได้ถึงความเหนียวข้นที่ทะลักลงมาสู่มือตน เมื่อค่อยๆถอนปลายนิ้วออกก็ได้เห็นคราบของเหลวสายยาวทิ้งลงตามติดลงมา

เด็กสาวไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยมือของเขาเอง

เป็นไม่กี่ครั้งที่เอลวินคิดว่าตัวเองเริ่มหน้ามืด มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเนื้อขาวใส

จะหัวหน้าหรือลูกน้อง ชายหนุ่มอายุคราวพ่อหรือเด็กสาวใสบริสุทธิ์

เขาไม่สนใจอีกแล้ว!

ซิปกางเกงถูกปลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีการบอกสิ่งใดล่วงหน้า มีเพียงท่อนลำขนาดใหญ่ที่ถูกจับเบียดกับต้นขาเล็ก

และจากปลายนิ้ว สู่เครื่องเพศแห่งชายหนุ่ม

“ยะ อย่านะครับ!”

จะมาเรียกร้องอะไรกันตอนนี้เล่าเด็กน้อย

“เธอเป็นคนเริ่มก่อนนะ”

“อ๊ะ!”

เอลวินทำในสิ่งที่ตนคิดว่ามันผิด.. แต่ไม่อาจหยุดได้อีกแล้วในวินาทีนี้

เริ่มแรกเป็นเพียงการจับส่วนยอดให้หยอกล้อไปทั่วกับผิวเนื้อที่เรียงตัวเป็นเนินนูนด้านนอกของเครื่องเพศหญิงที่ส่งกลิ่นหอมหวานเบื้องหน้า

ไม่นานแก่นกายของบุรุษเพศถูกจับให้แทรกตัวเข้าไปสู่ดอกไม้ช่องามที่เพิ่งบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า

“จะ เจ็บ.. เฮือก!”

แม้จะรู้ว่าเด็กสาวต้องอดกลั้นขนาดไหนกับการเสียดสีของท่อนเนื้อร้อนที่พยายามดันตัวเข้าไป แต่เมื่อไปได้ครึ่งทางและในที่สุดร่องเนื้อสีหวานก็กอบกุมความร้อนของตนเอาไว้ได้จนหมด เขาก็ไม่สามารถหยุดมันได้อีก

รู้ว่าตนไม่มีสิทธิครอบครอง จึงขอเพียงสัมพันธ์ทางกาย

แม้จะไม่ลึกล้ำเท่ารีไว แต่ขอแค่ได้รับรู้ถึงห้วงอารมณ์ที่ฝ่ายนั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเด็กสาวก็พอ

เอลวินรู้ว่ามันเสี่ยงที่จะไร้การป้องกันใดๆ ถ้าหากมันผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็..

ฉันจะรับผิดชอบเธอเอง

เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงขยับช่วงกลางลำตัวให้เคลื่อนไหวไปตามแรงกระตุ้นของจิตใจ
“ฉันจะปล่อยข้างนอก ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”

“คะ ครั.. อ๊า”

ครั้งแล้วครั้งเล่ากับการสอดประสานร่างกายเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ท่วงท่าถูกเปลี่ยนสลับไปมาโดยที่อีกฝ่ายไม่อาจขัดขืนได้

“อะ..”

ครั้งแรกกับการจับเด็กสาวนอนราบและแอ่นหลังจนโก่งโค้งเมื่อถึงปลายอารมณ์ เมื่อถึงเวลาที่สมควรจึงถอนตัวออกมา เพียงไม่กี่วินาทีคราบของเหลวจากเขาพุ่งเลอะเปรอะกลีบน้อยใหญ่ที่ปากทางเข้า

“อะ ฮ้า..”

ครั้งที่สองกับการให้อีกฝ่ายยืนแนบลำตัวไปกับผนังเย็นเยียบภายในห้อง มือเล็กพยายามไขว่คว้าเกาะกุมกำแพงอิฐสีเข้มอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยว ต้นขาขาวถูกยกสูงพาดบนไหล่ของตนเพื่อให้โพรงเนื้ออ่อนขยายตัวมากขึ้นไปอีก

จะด้วยความตั้งใจหรือเป็นความเร่าร้อนในไฟแห่งตัณหาที่พาไปก็ตาม ในครั้งหลังๆที่เอลวินจะไปถึงจุดสูงสุดของการปลดปล่อยความคับแน่นออกจากร่างกายช่วงล่าง เขาจะค้างไว้จังหวะหนึ่งและค่อยถอนตัวออกมาเพื่อระบายออก

แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำมันเป็นการกระทำที่ขัดต่อทั้งหลักศาสนาและศีลธรรมต่อเพื่อนมนุษย์

แต่ในใจก็ภาวนาให้มันเกิดความผิดพลาด.. ให้ของเหลวที่ตนจงใจเหลือทิ้งไว้ในกลีบดอกไม้แสนงามได้คืบคลานไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกายของเด็กสาว ให้มันได้หลอมรวมจิตวิญญาณของพวกเขาเข้าด้วยกัน

ไม่แน่ว่าที่รีไวทำเอาไว้อาจจะยังไม่ได้ผลก็ได้

เพราะงั้นนี่เป็นโอกาสเดียวของเขาที่จะทำสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้ให้สำเร็จ

เพื่อจะได้ครอบครองเด็กสาวไว้เพียงผู้เดียว
“อะ อย่า อ๊า!”

ครั้งที่สามกับการจับร่างเล็กนั่งทับบนตัก แก้มก้มขาวเนียนสัมผัสได้ถึงส่วนโคนของเครื่องเพศของชายหนุ่ม ครั้งนี้ท่อนเนื้อยาวแทรกตัวมาจนถึงสุดปลายทาง เด็กสาวร้องลั่นกับความเจ็บปวดที่แฝงไปด้วยแรงตัณหา

และครั้งที่สี่ ห้า หก มากมายนับไม่ถ้วน

หัวเตียง พื้นปูนเย็นเยียบ กระจกบานใหญ่ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ประตู กำแพง หรือแม้แต่ขอบหน้าต่างได้ถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับพวกตนที่กำลังลุ่มหลงอยู่ในห้วงเสน่หาของกันและกัน ทุกที่ได้ทิ้งคราบและรอยกามรมณ์เอาไว้เป็นหลักฐานของไฟราคะที่เกิดขึ้น

ไม่มีการพูดคุยกันเกิดขึ้นแม้ประโยค มีเพียงเสียงหอบครางที่ดังระงมออกไปทางบานหน้าต่าง

เขาให้เด็กสาวพาดลำตัวกับขอบหน้าต่างที่ถูกเปิดกว้างไว้ ส่วนตนเป็นฝ่ายพยุงท่อนขาของอีกฝ่ายให้ลอยจากพื้นและเกาะเกี่ยวสะโพกตน ตอนนี้ตัวของเอเลนจึงสั่นระริกอยู่กลางอากาศ หน้าอกของอีกฝ่ายที่สั่นสะเทือนไปตามแรงกระแทกจึงถูกเปิดเผยให้ทุ่งกว้างให้เห็น

แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน แต่พวกตนกลับร่วมรักกันมากกว่าโสเภณีที่เสนอตัวให้ชายหนุ่มที่บังเอิญเดินทางผ่านไปมาในเมืองหลวงเสียอีก
เอลวินคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ฝันที่ยอดเยี่ยมจนแทบขาดใจ

บนเตียงนอนที่เนื้อต้นขาเนียนทั้งสองข้างของเอเลนกำลังเชื่อมติดกับร่างกายท่อนล่างของเขาด้วยเครื่องเพศชายที่ถูกดันจนสุด

คับแน่นและตอดรัดจนความสุขล้นปรี่ในอก

ครั้งนี่เขาตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นครั้งสุดท้าย

และความฝันก็จะสิ้นสุดลง

เด็กสาวเป็นฝ่ายยกสะโพกขึ้นก่อนจะขยับช้าๆ.. ผนังอ่อนที่ถูกรุกล้ำเสียดสีกับท่อนลำใหญ่จนร้อน

“อา..”

เขากดสะโพกเบียดกลับและได้คำตอบรับเป็นการตวัดรัดรึงแน่น

จังหวะรักเร่าร้อนดำเนินไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา ราวกับจะประทับความทรงจำให้ซึบซาบเข้าไปในทุกอณูของร่างกายที่ครั้งหนึ่งเคยได้สอดประสาน

“จะ..ไปแล้วนะ”

“อะ..อ๊ะ อ๊า!”

เอลวินรู้ทันทีว่าเด็กสาวถึงห้วงอารมณ์สูงสุดพร้อมตน จึงกระชากร่างกายของตนออกมาเหมือนที่เคยทำ

“!”

ทว่าในขณะที่กำลังดึงตัวออกมา คนที่นอนแผ่ราบอยู่ข้างใต้กลับดันตัวขึ้นอย่างฉับพลันและใช้มือทั้งสองข้างรั้งสะโพกของเขาให้ดันกลับเข้าไปหาร่างกายตนอย่างเดิม

“อ๊า!!!!!!!!!!!”

“อะ เอเลน!”

เอลวินตกใจจนพูดอะไรไม่ออกนอกจากเรียกชื่ออีกฝ่ายเมื่อรับรู้ว่าพวกเขาทั้งสองได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์

หยาดอารมณ์กลั่นตัวรวมกันอยู่ภายในดอกไม้ช่องาม กลีบน้อยที่ห่อหุ้มเครื่องเพศชายสั่นระริกกับการได้ทำหน้าที่ให้ลุล่วง

ร่างสูงถอนตัวออกอย่างลนลาน มือทั้งสองแยกขาของเด็กสาวออกกว้างและใช้ปลายนิ้วแทรกตัวเข้าไปอีกครั้งเพื่อกวาดของเหลวที่คั่งค้างอยู่ภายในให้ไหลออกมา

“อะ พะ พอครั..”

เอลวินตื่นตระหนกจนแทบบ้า เมื่อครู่เด็กสาวไม่ยอมให้เขาถอนกายออกมาเหมือนเคย แต่กลับดันมันเข้าไปจนสุดทำให้ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ทันเวลา

หยาดของเหลวที่สาดตัวเข้าใส่เมื่อได้กระแทกกับร่างกายส่วนลึกในระยะประชิดคงไม่สามารถเอาออกมาได้หมด

นี่เป็นความผิดพลาด
แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกดีใจ?

เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง เด็กสาวตรงหน้าได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว

เหลือทิ้งไว้เพียงร่างกายของเด็กสาวที่เปรอะเปื้อนคราบอารมณ์ของชายหนุ่มให้ตนได้เชยชมท่ามกลางแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามา

………………

“มันจะเป็นความลับระหว่างเรา ฉันสัญญา” เขากระซิบข้างหูร่างเล็กที่สลบไสลไม่ได้สติ ก่อนจะคลุมผ้าห่มให้คลายความหนาว

หลังจากทำความสะอาดร่างกายให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เอลวินก็คิดว่าถึงเวลาที่ตนต้องจากไปเสียที

ก่อนที่ตัวจริงจะกลับมา

มันจะเป็นความลับ

..ความลับที่ถูกผนึกไว้ในห้วงลึกตลอดกาล

“หัวหน้า..”

เสียงครางแผ่วดังมาจากคนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข เด็กสาวขดตัวหาไออุ่นเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่น่าทะนุถนอม

ฉันสัญญา

 

“หัวหน้า..”

ฉันสัญญา.. เอเลนของฉัน

 

 

……………………………………

……………….

……

..

“หัวหน้าเอลวินครับ!”

เอเลน?

“หัวหน้าไม่สบายหรือเปล่าครับ..”

หลังจากที่ฝ่ามือของร่างสูงแตะหน้าผากตน เอเลนพบว่าอีกฝ่ายนิ่งไปนานจนคิดว่าหัวหน้าของตนอาจไม่สบายจึงลองส่งเสียงเรียกดู ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ หัวหน้าเอลวินอาจจะทำงานหนักจนเหนื่อยเกินไปก็เป็นได้

“ถ้ายังไงให้ผมไปขอยาจากคุณฮันซี่ให้ไหมครับ?”

“อา.. ไม่ ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร ฉันสบายดี ขอบคุณนะ”

เด็กสาวขมวดคิ้ว แม้จะเห็นๆกันอยู่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สบายดีดั่งปากว่า แต่ถ้าเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไร อาการก็อาจไม่หนักอย่างที่คิด

“เธอเองก็.. พักผ่อนเยอะๆล่ะ”

แต่เอลวินคิดว่าอาการของตนกำลังเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว

ทั้งหมดก็เป็นแค่จินตนาการ

เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับความลับที่จะถูกปิดตายไว้ในใจของชายผู้เป็นหัวหน้าหน่วยสำรวจแต่เพียงผู้เดียว

[Fin.]

花咲く少女 Hana saku Shoujo [5.2]

花咲く少

Hana saku Shoujo

-5.2-

แสงสว่างรำไรของดวงอาทิตย์ค่อยๆ เยี่ยมหน้าผ่านหมู่เมฆและเงาไม้ของป่าเขาตามเวลาที่ล่วงเลยทีละน้อย ยามเช้าของอดีตศูนย์บัญชาการทีมสำรวจเงียบสงบไร้สุ้มเสียงใด ตรงข้ามกับศูนย์บัญชาการหลักในปัจจุบันที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนผลัดเวรยามปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ

ปราสาทเก่าคร่ำครึนีี่…มีผู้อยู่อาศัยประจำแค่เพียงไม่กี่คน

เงาคนเคลื่อนไหววูบวาบไปมาและเสียงกุกกักที่ไม่ค่อยคุ้นหูจึงนำทางฮันซี่มายังห้องทำครัว จากความตั้งใจเดิมที่แค่จะมาขนมปังกับน้ำสักเหยือกมารองท้องเท่านั้น

ผู้บังคับหมู่ตัดสินเปิดประตู

ร่างสูงโปร่งของเด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มจัดที่ถูกตัดสั้นเหลือเพียงปอยบางส่วนระลงปิดหลังคอกำลังง่วนอยู่หน้าเตา มือเรียวปอกเปลือกและหั่นหัวมันให้มีขนาดพอเหมาะอย่างตั้งใจโดยมีผ้ากันเปื้อนคลุมช่วงท้องเรียบร้อย อาจไม่ได้ดูคล่องแคล่วอะไรมาก แต่ก็ไม่เก้กัง

ควันของไอน้ำที่เดือดได้ที่จากในหม้อดังขึ้นพอดีคงกลบเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาของหญิงสาว เด็กคนนั้นวางมีด ค่อยๆ ใส่หัวมันที่หั่นเตรียมไว้ พร้อมกับผักอย่างอื่นที่พอจะหาได้

“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอเอเลน?”

โพล่งถามขึ้นลอยๆ มือที่กำลังตัดน้ำซึปขึ้นมาจะชิมเพื่อปรุงรสสะดุ้งเฮือก แทบทำตะบวยหลุดมือ ดีที่เธอคว้าไว้ทัน

“โทษทีๆ จู่ๆ โผล่มาเงียบๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียงคงจะตกใจสินะ”

เด็กสาวพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนว่า

“นิดเดียวครับ… ว่าแต่เมื่อกี้คุณถามผมว่า-ทำ-อะไรเป็นเหรอครับ?”

คนอายุมากกว่าทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือ แล้วทวนคำถามอีกครั้ง เอเลนยิ้มแหยเหมือนไม่ค่อยอยากจะนึกถึงสาเหตุเท่าไหร่นัก

“ยัยมิคาสะมือหนักน่ะครับ เวลาเตรียมอาหาร ถ้าต้องใช้มือหรือหั่นแม่เลยให้ผมช่วยนิดหน่อย ตอนยุ่งๆ ก็เลยพอจำวิธีทำอาหารง่ายๆ ได้”

ฮันซี่ร้อง ‘อ๋ออ~อ” ยาวเป็นเชิงรับรู้และเข้าใจ ก็ประเภทเดียวกับรีไวนี่น่ะ หมอนั่นเองก็มือหนักใช่ย่อย…

 

คิดแล้วสยอง

ยังไม่ทันให้พูดคุยอะไรกันต่อ ตาดีๆ ของฮันซี่ก็เหลือบไปเห็นตรงท้ายทอยขาวของเด็กสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอาหารต่อ ปลายผมที่ตกลงไปจากตำแหน่งเดิมเผยให้เห็นรอยแดงจ้ำคล้ำลักษณะเหมือนคมเขี้ยวฝังเป็นรูปฟัน วิเคราะห์จากความแดงช้ำขนาดนั้นพ่อคุณต้องทั้งดูดทั้งเม้มแถมให้แหง สันนิษฐานได้เลยว่าตอนทำคงมันในอารมณ์ไม่หยอก และคนเดียวในปราสาทที่จะขย้ำเด็กคนนี้ซะจม-เขี้ยว-ขนาดนี้ได้ก็มีแค่…

“รีไวปล่อยให้นอนมั้งมั้ยนั้น? เอเลน”

หญิงสาวถาม พลางเอนกายพิงกรอบประตูด้วยท่วงท่าสบายๆ มือคว้าแอปเปิ้ลขนาดพอดีมือมากัดกร้วมอย่างเอร็ดอร่อย มองหน้าเหวอๆ ของคนโดนถามที่หันขวับมา ผิวแก้มแดงแปร๊ดซะเปลือกแอปเปิ้ลในมือเธอหรือมะเขือเทศบนเขียงชิดซ้ายไปเลย

ริมฝีปากอ้า…หุบเข้าหุบออก พะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ ผิดกันตรงที่ถ้าเป็นปลาคงโดนทุบหัวแบะแล้วโยนลงกระทะ แต่กับเด็กที่ทำหน้าเหมือนจะระเบิดเพราะความเขินได้ตรงหน้านี่ น่าแกล้งหยอกต่อซะมากกว่า

“คะ…คุณฮันซี่!”

เสียงใสแบบเด็กยังไม่แตกเนื้อสาวดีถามปากคอสั่น น้ำตารินรื้นตรงขอบตา ริมฝีปากบางเม้มแน่น แก้มเนียนแดงระเรื่อลามไปทั่วใบหน้า

“ระ…รู้ ได้ยังไงครับ!?”

คนอายุมากกว่ากัดแอปเปิ้ลอีกคำ ก่อนแตะมือแถวหลังคอใบ้ว่า-รู้-จากอะไรกลายๆ ท่าทางตื่นๆ ที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรงนี่มัน…

“แหม่ะ~ สดชื่นดีจริ๊งจริง” ….มิน่า รีไวถึงได้กินเด็ก

ประโยคหลังคิดต่อในใจ เธอยังปรานีพออะนะ ที่สำคัญเดี๋ยวจะเขินหนีเตลิดไปอดรู้เรื่องสนุกๆ ก็แย่เลยน่ะสิงั้น!

“ยัยสี่ตา!”

น่าเสียดาย…คุณผู้ปกครองดันมาซะก่อนนี่สิ ดวงหน้าเย็นชาพร้อมนัยน์ตาสีเทาคมกริบเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องครัว มือรั้งช่วงขอบประตูที่เปิดค้างอยู่

คุกคามสุดๆ …

มือเรียวยาวเสยผมสีดำขลับที่ระลงมาปรกหน้า วันนี้…หัวหน้าทหารผู้เนี๊ยบไปทุกระเบียดนิ้วโผล่มาในสภาพที่ไม่เนี๊ยบกริบเช่นทุกครา

ต่อมช่างสงสัยทำงานทันที และพอกวาดสายตาสำรวจเพื่อนร่วมงานถนัดถนี่ก็…ได้เรื่องเลยจ้า~

ร่างเตี้ยกว่า หากสันทัดและค่อนข้างล่ำสันในแบบทหารผู้เจนศึก สวมใส่เพียงเสื้อแขนยาวสีขาวตัวบางซึ่งคอค่อนข้างกว้าง ตามลาดไหล่แน่นหนั่นจึงเปิดเผยพอควร แสดงให้เห็นร่องรอยจางๆ อนุมานว่าคงเป็นข่วนจากเล็บมือ บ้างก็รอยขบที่ดูเหมือนรอยจูบเบาๆ มากกว่า

แน่แหละ เอเลนคงไม่กล้า-กัด-รีไวแบบที่เจ้าตัวทำกับเด็กนั้นหรอก

เหมือนรู้ตัวว่าถูกนินทา… เสี้ยวนาทีที่เดินผ่านใบหน้าคมนั้นจ้องเขม็ง

สายตาเย็นเยียบกดดัน เรียวปากที่ขยับอย่างไร้เสียงว่า ‘อย่าคิดยุ่งกับของของคนอื่น!’

“เอเลน…”

รีไวเรียก น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นอ่อนลงกว่าแต่ก่อน แม้ไม่ถึงขั้นอ่อนหวานอบอุ่น แต่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่มากแล้วสำหรับผู้ชายที่ไม่ค่อยสนใจใครคนนั้น

สายตาอ่อนลงอย่างที่แทบจะเรียกได้ว่านุ่มนวล…จนแทบไม่เหลือเค้าความดุดัน ยิ่งเจ้าของชื่อขานรับพร้อมรอยยิ้มบาง บรรยากาศอ่อนหวานราวโลกมีเพียงสองเราก็กระจายตัวในห้องครัวนี้อย่างรวดเร็ว

พอๆ กับความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังเป็นส่วนเกิน…

หญิงสาวผู้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับหมู่ โบกมือเป็นเชิงสั่งลา ถึงจะคิดว่าสองคนนั้นจะแทบลืมตัวตนของเธอไปแล้วก็เถอะ

กลิ่นหอมจางๆ ของซุปอุ่นกรุ่นในอากาศ เอเลนหรี่ไฟในเตาให้ค่อยๆ มอดลง ก่อนหมุนกายไปหาร่างสันทัดสมส่วนในชุดลำลองดูผ่อนคลายแปลกตาที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งยืนบนโต๊ะวางของกลางห้อง

“มาสิ”

รูปประโยคเหมือนคำสั่งให้ปฏิบัติตาม แต่น้ำเสียงกับรอยยิ้มบางที่ส่งมาขับให้คลื่นร้อนๆ มาเลี้ยงใบหน้าซะแทน

ไม่ต้องให้พูดซ้ำ… เด็กสาววางมือลงบนฝ่ามือที่ยื่นมาหา ปลายนิ้วแตะกันเพียงนิด ฝ่ายคนอายุมากกว่าก็เลื่อนมือกุมกระชับ จับมือนั้นไว้ นิ้วเรียวยาวค่อนข้างสากและหยาบกร้านประสานเข้ากับนิ้วมือทั้งห้าอย่างนุ่มนวล

ดวงตาสีเทาจาง…มองใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆ บนพวงแก้มอย่างอ่อนโยน

“เอเลน…”

ลองเรียกชื่อของคนในอุ้งมืออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าก้มลงไปจนคางแทบชิดอกอยู่แล้ว

เด็กๆ นี่ซื่อ…

แถมน่ารักจนน่าแกล้ง..

 

รีไวคิด ขณะที่ประคองใบหน้าแดงก่ำขึ้นสีจัดจนเหมือนเด็กตรงหน้าจะมีควันพวยพุ่งออกมาได้

ดวงเนตรสีเขียวใสเด่นราวมรกตสบกับนัยน์ตาสีเทาคู่คม ลมหายใจอุ่นระรดจากความใกล้ชิดของกันและกัน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงจากอวัยวะภายใต้แผ่นอกด้านซ้ายเต้นระรัว เสียงรอบตัวเริ่มเลือนหาย…คล้ายกับหูสดับได้เพียงเสียงของหัวใจที่เต้นแรงในร่างและตาก็รับรู้เพียงใบหน้าที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาเท่านั้น

แสงแดดยามเช้าที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดโล่ง ห้องครัวแสนเงียบสงบจนได้ยินเสียงของนกนน้อยที่เริ่มออกบินหากิน

ร่างของคนสองคนอิงแอบแนบชิด…มอบจุมพิตให้กันอย่างอ่อนหวาน

ท่ามกลางแสงสีทองแห่งอรุณรุ่ง บรรยากาศเสมือนยืนเบื้องหน้ากางเขนในโบสถ์อันยิ่งใหญ่

และนี่เป็นพิธีสาบานรัก…

Until death do us apart.

จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน

หนึ่งในคำมั่นสาบานของคู่แต่งงาน…ที่เคยมอบให้แก่กันดังก้องอยู่ในหัว

หลังจากคืนดีกัน…ไม่สิ ต้องเรียกว่า-ปรับความเข้าใจ-กันจะดีกว่า เอเลนรู้สึกว่าหมู่นี้หัวหน้าชักจะทำตัวติดกันมากขึ้นทุกที ขนาดไปเข้าประชุมที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ หัวหน้าก็ยังพาเธอไปด้วย ถึงจะแค่จับมาวางแหมะไว้ในห้องทำงานส่วนตัวของอีกฝ่าย ไม่ถึงขั้นเอาไปนั่งประชุมด้วยก็แปลกอยู่ดี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แค่ให้สั่งคนมาเฝ้าไว้สองสามคน

ถึงจะดูเหมือนเข้มงวดกับเธอมากกว่าเดิมแบบนั้น แต่เด็กสาวกลับได้รับอนุญาตให้ออกมาภายนอกปราสาท สามารถเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับเพื่อนฝูงได้ โดยมีข้อแม้ว่าทุกครั้งที่ลงสนามฝึกต้องมีเจ้าตัวตามมาด้วย…

ซึ่งแน่นอน….เธอจะได้ฝึกกับใครล่ะนอกจากหัวหน้าน่ะ!

ใจจริงก็อยากจะตะโกนใส่ด้วยประโยคนี้หรอกนะ เสียแต่ไม่ใช่เพราะหัวหน้ารีไวซะทีเดียว เหตุการณ์เมื่อตอนฝึกครั้งที่แล้วที่เธอแอบดอดหนีมาโดยไม่บอกหัวหน้า แล้วโดนลากอุ้มพาดบ่าไปทั้งๆ แบบนั้น ดังน้อยซะเมื่อไหร่ จากแค่รู้กันเพียงในลานฝึกวันนั้น รุ่งขึ้นก็รู้กันทั้งทีมสำรวจในหมู่รุ่นพี่ ดีไม่ดีข้ามไปถึงฝั่งพวกรุ่น 104 ถ้าหัวหน้าหน่วยเออร์วินไม่มาออกโรงปรามกันซะก่อน

ใครว่ามีแต่ผู้หญิงที่ชอบเรื่องนินทา?

ทีมสำรวจส่วนใหญ่ที่มีแต่ผู้ชาย ไอ้พวกข่าวซุบซิบยังแพร่ได้เร็วกว่าไฟลามทุ่งเลย!!

ช่วงนี้…จะว่ายังไงดี ผมว่าหัวหน้าแปลกๆ นะครับ”

เอเลนถาม ขณะที่อยู่กันตามลำพังสองคนในห้องส่วนตัว หัวหน้าทหารเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อยพลางเอียงคอ คางที่เกยบนลาดไหล่มนเปลือยเปล่าที่มีเพียงสายคาดของเสื้อนอนชิ้นบางเกลือกไปมา ปลายคางสากๆ ที่เริ่มมีหนวดขึ้นรำไรระคายผิวจนนิ่วหน้า

“หัวหน้า…ลืมโกนหนวดเหรอครับ”

เด็กสาวบ่นอุบ ก่อนจะสะดุ้งเฮือก กับอ้อมแขนที่โอบประคองเอวอยู่รัดแน่นขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับมือที่เริ่มเลื้อยไล้ไปตามแนวโครงร่าง ไต่ขึ้นจากหน้าท้องราบเรียบไร้ส่วนเกิน ร่างเพรียวบางที่ถูกบังคับจับนั่งบนตักอีกฝ่ายพยายามขืนตัวหนี

“อย่าครับ…นี่คุยกันอยู่นะ…”

คนอายุน้อยกว่าประท้วง ขืนปล่อยไปได้ทำอย่างอื่นแทนคุยกันเฉยๆ พอดี เสียงครางฮือในลำคอด้วยความขัดใจแว่วมา ซ้ำทับด้วยลมหายใจร้อนผ่าวริมหู

รู้สึกอีกที… ร่างของเด็กสาวก็โดนกดลงกับฟูกนอน ใบหน้าเนียนแนบไปกับผืนผ้าปูสีขาวสะอาดค่อนข้างเย็นเพราะอากาศ ผิดกับแผ่นหลังที่ใครอีกคนโน้มลงมาทาบทับ…ร้อนเร่า หลังคอสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นนุ่มลื่นของปลายลิ้นที่แลบเลียลงมาสลับกับขบเบาๆ

“ถะ…ถ้า…ทิ้งรอยไว้….ตรงนั้น… มันจะ….”

เอเลนปรามเสียงสั่น เส้นประสาทเต้นเร้าเจ็บแปลบปนเสียวซ่านประหลาด

ศีรษะถูกพลิกไปรับจุมพิตที่กดย้ำลงมา ลิ้นอุ่นแตะเบาๆ ราวขออนุญาต ก่อนจะเริ่มรุกไล่เข้าไปภายในโพรงปากนิ่ม นัยน์ตาสีเขียวมรกตปรือปิดลงอย่างช้าๆ ตอบรับสัมผัสที่ล่วงล้ำเข้ามาอย่างเต็มใจ

สุดท้าย…

ก็เลยไม่ได้คุยกัน…

อนุสติล่องลอยไปไกลแสนไกล… ขาวโพลน ว่างเปล่า หากเธอกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย อ้อมแขนอบอุ่นและลมหายใจผ่ะผ่าวที่ระรินบนผิวกายนั้นชวนให้ปลอดภัย ปรารถนาที่จะอยู่เช่นนี้ไปนานที่สุดตราบเท่าที่จะทำได้

ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบกับดวงหน้าอันคุ้นเคยสะท้อนมาในกระจกเงา ใบหน้าโรยแรง ดวงตาแห้งผากแสดงถึงความเหนื่อยล้า

จู่ๆ เธอก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา… ในหัวหมุนคว้างไปหมด คลื่นไส้จนไม่อาจนอนอยู่เฉยๆ ได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเดินด้วยอาการสะลึมสะลือมาถึงอ่างล้างหน้า

แล้วจากนั้น…จากนั้น…..

“อุ่ก!” เหมือนมีอะไรจะขับดันขึ้นมาจากในช่องท้อง มือเรียวกำขอบอ่างไม้ไว้แน่น และโก่งคออาเจียน

ปวด….ปวดหัว แสบคอด้วย…

เพราะในระหว่างนอนหลับ ร่างกายไม่ได้มีการรับอาหารเข้าไปในกระเพาะ เมื่ออาเจียนกะทันหันจึงมีเพียงน้ำย่อยออกมาเท่านั้น กรดที่ไหลย้อนขึ้นมาตามลำไส้และหลอดอาหาร สร้างความทรมานให้มากกว่าเดิม แทนที่สำรอกออกไปแล้วจะโล่งขึ้น กลับปวดแสบปวดร้อน และรู้สึกคลื่นไส้กว่าเดิม

เปลือกตาปรือปรอย… เหนื่อย…จนอยากหลับไปทั้งๆ แบบนี้  แต่ถ้าหัวหน้ามาเห็นสภาพเละเทะแบบนี้เข้าเธอต้องโดนดุยกใหญ่แหงๆ เอเลนพยายามพยุงตัวขึ้น หากลุกขึ้นได้เพียงนิดก็ซวนเซล้มลงไปกองกับพื้นหินเช่นก่อนหน้า ซ้ำมือยังปัดไปโดนข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำล้มระเนระนาด

อา….

แบบนี้

เดี๋ยวหัวหน้าก็…

“หัว…หน้า…”

…ตื่นพอดี

ริมฝีปากเอ่ยเรียกได้ไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ ศีรษะที่พิงพับกับผนังได้เลื่อนไหลตามร่างที่หมอบราบกับพื้นหินเย็นเฉียบ

“เอเลน!”

[Plot]花の側 -Hana no Soku- by Lina

花の側。

Hana no Soku เป็นโลกคู่ขนาน Hana saku Shoujo นะคะ

รีเอ(ซี) มิคา(ซี)เอเร(ซี) อารุเอ(ซี)?

ท่านรีพระเอก(รูทหลัก) มิคาสะพระรอง(รูทสอง) อาร์มินบอสลับ(รูทลับ)

รีเอ

ตอนที่เอเลนเกิด เขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดกำลังอยู่ชั้นมปลายปีสุดท้าย

ทารกหญิงตัวน้อย ตาสีเขียวกลมโตไร้เดียงสา จ้องแป๋วมองมาอย่างสงสัย

คุณคลาร่าหัวเราะคิกคัก เมื่อมือป้อมๆ นั่นเอื้อมมาจับปลายนิ้วเขา และพอคว้าได้ก็หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ

ดูเอเลนจะชอบเธอนะ รีไว หญิงสาวกล่าว พลางส่งให้อุ้ม เขารับมาอย่างเก้ๆกังๆ

หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ยามได้ประคองกอดร่างน้อยไว้ในอ้อมแขน

หากหลังจากนั้นไม่นาน เขาชอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้

วันที่จากกัน…เอเลนเพิ่งหนึ่งขวบ แต่ริมฝีปากเล็กๆ นั่นกลับเบ้น้อยๆ และร้องไห้สะอึ่กสะอื้นไม่หยุด

อีไว..อีไว..เจ้าตัวเล็กเรียกเขา

มือแกร่งลูบศีรษะกลมป้อมที่มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดอ่อนนุ่มนั้น

ไว้เจอกันนะ…เอเลน ใบหน้าคมแย้มรอยยิ้มบาง

ชีวิตต่างแดนเขายุ่งแต่การเรียนและออกภาคสนาม มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาในชีวิตบ้าง แต่ก็ผ่านเลยไป

หากไม่เหงานัก…ทั้งคุณคลาร่าและนายแพทย์คริชาที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายบุญธรรมผลัดกันส่งรูปต่างๆ นานามาไม่ขาดสาย

ส่วนใหญ่จะเป็นรูปกิจกรรมในครอบครัว ภาพเด็กน้อยที่ค่อยๆ โตเป็นเด็กสาวพาดผ่านสายตามาเป็นระยะ

ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายร่าเริงและมีชีวิตชีวา

และยามที่กลับมาเยือนแผ่นดินเกิดอีกครั้ง

จากเด็กตัวน้อย…ก็กลายเป็นสาวรุ่นซะแล้ว เอเลน เยเกอร์ในวัยสิบห้าอาจไม่ใช่เด็กสาวที่สวยโดดเด่น

หากดวงตาสีมรกตสุกใสราวอัญมณี และความร่าเริงสดใสนั่นจับตาจนไม่อาจละสายตา

รีไวซัง! เด็กสาวร้องตะโกนอย่างดีใจเมื่อเห็นหน้า รอยยิ้มหวานผุดขึ้นบนริมฝีปากเรียวบาง ก่อนร่างเพรียวนั่นจะโดดเข้าใส่

เด็กสาวกอดรัดฟัดเหวี่ยง แถมคลอเคลียติดพันราวกับแมวหง่าวตัวโต

กว่าสิบปีที่เห็นเพียงรูปถ่าย เนิ่นนานที่ติดต่อกับเพียงทางจดหมายและโทรศัพท์ เบื้องหน้าเขาและเธอคือตัวจริงที่อบอุ่นมีเลือดเนื้อ

เจอตัวรีไวซังแล้ว…

มิคาเอเร

มิคาสะรู้จักเอเลนตอนประมาณอายุสิบสองสิบสาม ในวันที่ฝนตก ตรงทางออกของห้องล็อคเกอร์รองเท้า

เขาอยู่ซ้อมชมรมจนเย็นดันลืมเอาร่มมาตามคำพยากรณ์อากาศ ส่วนเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายนั่น เขาไม่รู้…

ร่มสีใสคันใหญ่ถูกกางออกกว้าง เสียงหยาดฝนพรำปรอยดังเป็นจังหวะหนาเม็ดขึ้นทุกที

ถ้าจะรอให้หยุดตก กว่าจะถึงบ้านคงมืดค่ำ มิคาสะคิดโดยถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

หือ? นายไม่มีร่มเหรอ? ซึ่งกิริยานั่นไม่อาจรอดพ้นหูของคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลไม่ใกล้

เขาพยักหน้า

งั้นไปด้วยกันสิ ยังไงก็ต้องไปต่อรถไฟเหมือนกันใช่ไหมล่ะ

เสียงใสว่า ก่อนกวักมือเรียก

มิคาสะนิ่งค้างกับรอยยิ้มสดใสราวท้องฟ้าในวันฟ้าโปร่งนั่น

เดือนเด่นชมรมเคนโด้ปีหนึ่ง ผู้ครองสถิติได้รับช็อคโกแล็ตแทนใจมากที่สุดประจำปีพอกับสถิติปฏิเสธ รู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในสภาพศรรักปักใจเข้าอย่างจัง

นี่สินะทึ่เรียกว่า -รักแรกพบ- …

เอเลน เยเกอร์ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า…นับจากวันนั้น เธอจะได้เพื่อนสนิทพ่วงบอดี้การ์ดผสมพี่ชาย?ผู้ชอบตามติดมาด้วย

เกร็ดเล็กน้อย:จากความประทับใจเมืี่อแรกพบ มิคาสะจึงห้อยสแตร็ปรูปร่มสีใสติดกับมือถือที่พกติดตัวตลอด เป็นสุดยอดของรักของหวงที่รู้กันดี ยกเว้นเอเลน สาวน้อยผู้เป็นต้นเหตุ by อาร์มิน เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของเอเลน

//รี 17 คลาร่า 22 คริชา 30

เอเลน 15 รี 32 คลาร่า 37 คริชา 45

ปลท่านรีเป็นช่างภาพอิสระน่ะค่ะ

Kiss Day

Title : Kiss Day 
Fandom : Shingeki no Kyojin or Attack on Titan
Rate : PG-15
Pairing: Levi x Elen(C)
 
Lina say :
พักฟิคดอกไม้ร้อนๆ ของคุณหัวหน้ากับลูกน้องสาว?ก่อนนะคะ
ขอแทรกด้วยอะไรสดใสน่ารักฉลอง Kiss Day ของญี่ปุ่นนิดหนึ่ง
ส่วนของเราเป็น Morning Kiss เบาๆ โดยหัวหน้ารีไวล์ อาจจะ OCC ไปสักนิด
แต่ก็อ่านเอาสนุกๆ แทนล่ะกันนะคะ
ตอนแรกกะจะปั่น Good Night Kiss ด้วยแต่คงไม่ทันเลยเอาแค่ Morning Kiss พอ
//โค้ง
 
::Morning Kiss::
 

“จูบอรุณสวัสดิ์?”

เอเลนทวนด้วยน้ำเสียงสงสัย นัยน์ตาสีเขียวใสดูงุนงง หญิงสาวอายุมากนึกเอ็นดูในความไร้เดียงสานั้นจนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวทุยๆ อย่างหมั่นเขี้ยวเต็มแก่ ท่ามกลางเสียงโอดครวญของเด็กน้อย เมื่อเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดยุ่งเหยิงได้ทีแล้วน่ะแหละ คนอายุมากกว่าจึงรามือ

“ก็แบบ…ตอนตื่นนอนไง ช่วงที่กำลังงัวเงียกึ่งหลับกึ่งตื่น คาปรือๆปรอยๆ แล้วคนข้างตัวส่งยิ้มให้ จากนั้นก็จูบบนหน้าผากหรือริมฝีปากอะไรงี้ เหมือนในนิยายไงล่ะ!”

ฮันซี่ร่ายยาวเหยียดอย่างกระตือรือร้นปนสงสัยใคร่รู้ในคำตอบ นับได้ว่าบทสนทนายาวๆโดยไม่มีเรื่องของไททันมาเกี่ยวเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาเลยทีเดียว

“คุณฮันซี่อ่านนิยายด้วยเหรอครับ?”

เอเลนกลับข้องใจเรื่องนี้มากกว่า อย่าหาว่ามองในแง่ร้ายหรือกล่าวหาคุณฮันซี่ แต่หญิงสาวที่ดูเหมือนจะหายใจเข้าหายใจออกเป็นเรื่องไททันแบบนี้นี่น่ะจะเสียสละเวลาในการวิจัยและค้นคว้าอันมีค่าไปกับหนังสือนิยายแบบเด็กรุ่นๆ นะ

“ก็เพิ่งสนใจเมื่อไม่นานมานี่อะนะ เกี่ยวกับงานวิจัยนิดหน่อย”

ผู้บังคับหมู่ยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์ หากเอเลนที่ยืนฟังตาแป๋วยังทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี

“ไอ้ฉันมันคิดไม่เหมือนเด็กสาวๆ เขาเท่าไหร่เลยลองเอามาอ่านดูเพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์พฤติกรรมตัวทดลองนะ”

ไม่รอให้คนอายุน้อยกว่าถามต่อ เจ้าตัวก็ชิงอธิบายออกมาก่อนเลย ซึ่งเธอฟังจนจบแล้วก็รู้สึกตะหงิดๆ ใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรอยู่ดี

“เอาล่ะ! ตกลงว่ามีหรือเปล่าล่ะ..เอเลนจ๋า~”

มือเรียวสวยแบบผู้หญิง หากแข็งแกร่งเหลือเชื่อวางหมับลงบนบ่าเล็ก ใบหน้าเลื่อนเข้ามาใกล้จนกรอบแว่นนั้นห่างจากปลายจมูกเธอไปไม่ถึงคืบ

“มีอะไร..ยังไงครับ…ผมไม่เข้าใจ…?”

เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ปรากฏบนใบหน้าเนียนใส ลืมไปซะสนิทว่าเจ้าเด็กนี้มันหัวช้าแล้วก็ซื่อกับเรื่องพวกนี้นี่น่า

“เฮ้อ…”

ฮันซี่ถอนหายใจ ก่อนตบหน้าผากตัวเองหนึ่งทีถ้วน แล้วกุมขมับ ก่อนจะตัดสินใจยิงตรงเป้าแบบนัดเดียวจอดไปเลย

“ที่ฉันกำลังพูดนี่…หมายถึงรีไวล์เคยทำแบบนั้นกับเธอมั้ยไง?”

แรกเริ่มเหมือนสมองยังไม่ทันประมวลผลดี ใบหน้าของเด็กสาวจึงนิ่งสนิทไป แต่พอเริ่มรับรู้ถึงข้อความในประโยคได้ สีแดงก่ำก็เริ่มผุดขึ้นบนสองข้างแก้มนวล แล้วค่อยๆ ลามไปถึงใบหูเล็ก

“คือ…คือ…”

เสียงงึมงำในลำคอกับหน้าแดงๆ นี้เป็นคำตอบที่ชัดซะยิ่งกว่าชัด

ฮันซี่ยิ้มหวาน ขณะที่จับไหล่เล็กไว้มั่นกันหนี

“ไหนลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิจ้ะ คิกๆ”

ผู้บังคับหมู่แห่งหน่วยสำรวจหัวเราะด้วยน้ำเสียงประหลาด ตั้งตารอฟังเรื่องสนุกจากปากเด็กสาว ในสมองที่กำลังเเล่นเพืี่อเก็บเกี่ยวข้อมูลมีเพียงความคิดเดียว

มีเรื่องสนุกไว้ล้อรีไวล์อีกหนึ่งเรื่องแล้ว…

…………………

………..

….

.

“หัวหน้าครับ…หัวหน้ารีไวล์”

 

เอเลนลองปลุกเรียก โดยปกติแล้ว….เธอจะเป็นคนที่ตื่นทีหลัง ลืมตาขึ้นมาในตอนเช้ากี่ครั้งก็จะเห็นว่าหัวหน้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เตรียมออกไปทำงานแล้ว ไม่ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่เพียงลำพังในห้องนอนที่เปิดหน้าต่างรับแสงแดดไว้เต็มที่

หากวันนี้ต่างไป… หัวหน้ายังหลับไม่ตื่นเลย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็สายมากแล้ว

อันที่จริงก็แปลกมาตั้งแต่เมื่อคืน หัวหน้าดูเหนื่อยมาก ถึงห้องก็แทบล้มลงไปกองกับพื้น คราบเลือดหรืออะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด จนเธอต้องค่อยๆ ถอดเปลี่ยนให้แล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัว พาไปนอนดีๆ ขณะที่กำลังคิดว่าตัวเองจะลงไปนอนพื้นดีหรือไปอาศัยนอนกับคุณฮันซี่ที่ห้องตรวจเอกสารสักคืนเพื่อให้หัวหน้าได้นอนสบายๆ

อ้อมแขนของคนที่เธอคิดว่าหลับสนิทไปแล้วก็สวมกอดจากด้านหลัง ดึงรั้งให้นอนด้วยกัน ลมหายใจร้อนผ่าวแตะชิดเรี่ยผิวตรงหลังคอ ขนอ่อนทั่วกายลุกชันอย่างไร้สาเหตุ

“จะไปไหน?”

เสียงทุ้มต่ำติดจะห้วนกร้าวเอ่ยถาม

“เอ่อ…เห็นหัวหน้าเหนื่อยมาก มีผมนอนอยู่ด้วยกลัวจะนอนไม่สบาย เลยว่าจะไปขออาศัยนอนกับคุณฮันซี่แทนน่ะครับ”

เอเลนว่า พร้อมๆ กับรู้สึกถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นกว่าเดิมจนเจ็บ และยังไม่ทันให้ได้อธิบายอะไร แขนข้างหนึ่งก็เลื่อนลงมารวบเอวเธอไปกอดไว้แน่น ก่อนสั่งสั้นๆ

“นอนที่นี่..”

ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธแม้แต่น้อย หัวหน้าชิงหลับไปทั้งๆ ที่กอดเธอไว้ กอดแน่น….ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘รัดพัน’ ราวกับจะพันธนาการไว้

เอเลนจำไม่ได้ว่าผล๊อยหลับไปนอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และเมื่อตื่นมาก็พบกับใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายห่างไปแค่นิดเดียว

เสียงผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอและหน้าอกแกร่งที่กระเพื่อมไหวเป็นจังหวะบ่งบอกว่าหัวหน้ากำลังหลับสนิท…และหลับลึกมากด้วย

เด็กสาวเอื้อมมือไปแตะหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นของอีกฝ่าย กดตรึงแผ่วเบาเพื่อคลายให้ แล้วนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวนานสองนานกับภาพที่หาดูได้ยาก

ใบหน้ายามหลับของหัวหน้าดูผ่อนคลาย…และสงบ

กลับมาที่ปัจจุบัน…

หลังจากที่ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เธอก็ตัดใจละจากภาพตรงหน้าเพื่อไปอาบน้ำและเตรียมออกไปฝึกซ้อมเช่นทุกวัน โดยลองยกแขนที่โอบรอบเอวตัวเองอยู่ก่อนลำดับแรก ซึ่งสามารถยกออกได้อย่างง่ายดายผิดคาด จนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าก็ยังไม่ตื่น

ความเป็นห่วงก่อตัวขึ้นมาทันที…

หัวหน้าบาดเจ็บ ช้ำในหรือไม่สบายหรือเปล่า?

ความคิดเดิมที่จะปล่อยให้นอนพักผ่อนไปเรื่อยจึงถูกยกเลิก แล้วเริ่มปลุกคนอายุมากกว่าอย่างเป็นจริงเป็นจัง

เสียแต่…นอกจากเสียงครางฮือในลำคอที่พอจะบอกได้ว่าหัวหน้าไม่ได้เป็นอะไรมากมายอย่างคิด นัยน์ตาคู่คมนั้นหลับพริ้ม ซ้ำยังพลิกกายหนีเธออีกตั้งหาก!

ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ขี้เกียจตื่นเช้าไปได้…

“อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะครับหัวหน้า ผมรู้ว่าคุณตื่นแล้ว ลุกมา..อุ๊บ”

ปากไวกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีก็บ่นอีกฝ่ายไปซะแล้ว ลืมสนิทว่าคนตรงหน้านั้นเหนือกว่าตนทุกด้านอย่างสิ้นเชิง  มาสำนึกได้ก็ตอนที่แขนถูกจับดึงลงไปกองกับฟูกเตียงแข็ง และริมฝีปากที่ทาบประทับลงมา จุมพิตอุ่นร้อนจู่โจมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ปลายลิ้นชำแรกแทรกเข้ามาในโพรงปากของเด็กสาว และกวาดต้อนดูดกลืนความหอมหวานจะลิ้นเล็กๆ ที่ถดถอยหนีอย่างเอร็ดอร่อย

เนิ่นนานกว่าอีกฝ่ายจะผละจาก… เด็กสาวหอบฮั่ก หัวใจเต้นรัวราวกับออกวิ่งมานับกิโล

“จูบอรุณสวัสดิ์….สวัสดีตอนเช้าเอเลน”

หัวหน้ารีไวล์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ ติดดวงตาพราวดูสนุกสนานนั้นลดความเคร่งขรึมลงเปลี่ยนเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับเธอในทันที

“หลังจากนั้นล่ะ…. หลังจากนั้นอ่าาาา เอเล๊นนนน”

ฮันซี่จับไหล่เด็กสาวเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน แต่ฝ่ายคนอายุน้อยกว่าส่ายหน้าดิก ปิดปากสนิทไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ

ก็จะให้เธอพูดต่อได้ไงล่ะ!

หลังจาก-จูบอรุณสวัสดิ์-แล้ว หัวหน้าก็….หัวหน้าก็….

ใบหน้าเนียนใสที่แดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก ดูราวกับจะแดงขึ้นอีก

ฮันซี่ยิ้มเกเร ก่อนกระเซ้าอย่างนึกสนุก

“หมอนั่นไม่หยุดแค่จูบสิท่า~ ทำอย่างกับเด็กหนุ่มริรัก…เท่าไหร่ก็ไม่พอน่ะนั้น”

และก่อนที่ผู้บังคับหมู่จะได้ไต่สวน?รีดเร้นความจริงไปมากกว่านี้ เงาทะมึนด้านหลังก็คืบคลานมาซะก่อน

เอเลนแอบกลืนน้ำลายลงคอ พลางแกะมือที่จับไหล่เธอไว้ของหญิงสาวตรงหน้าที่แข็งค้างไปแล้ว

“ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้….ทำไมไม่ถามฉันแทนล่ะ ยัยโรคจิต!”

อา…ดูท่าว่า คุณฮันซี่คงไม่ได้มาป่วนผมอีกพักใหญ่ๆ เลยล่ะครับแบบนี้

-จบ-

hitorijanai says :

พักอารมณ์มาอ่านอะไรเบาๆ(?)กันบ้างดีกว่า (เลย Kiss day มายี่สิบนาที T A T แงงงงง)

::KIDS, this is what we call KISS::

‘จูบสิ’

‘เดี๋ยวก่อนนะครับหัวหน้ารีไวล์..คือ..’

เอเลนกระอักกระอ่วน พูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรดีกับคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็บอกว่า ‘จูบสิ’..มันไม่ใช่ประโยคที่สามารถยินโดยทั่วไปอย่าง ‘อรุณสวัสดิ์’ หรือ ‘อากาศดีจังนะ’

จูบ..

จูบงั้นเหรอ

อีกฝ่ายกำลังหมายถึงจะให้เธอเอาปากประกบกับปากของเขาใช่ไหม?

‘ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไงเอเลน เยเกอร์

น้ำเสียงที่เข้มขึ้นทำให้เผลอเหยียดตัวตรง ไอ้ได้ยินมันก็ได้ยินอยู่หรอก แต่นี่มันก็..ก็ยังไม่ถึงกลางคืน ฟ้าข้างนอกสว่างโร่จนแสงแดดส่องเข้ามาให้ความสว่างทั่วห้อง

แม้จะอยู่กันสองคน แถมทำแบบนั้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่อายเสียหน่อย

เพราะปกติอีกฝ่ายจะทำเฉพาะเวลากลางคืนนี่นา..ถึงจะอยู่ในห้องที่ปิดมิดชิด แต่เวลานี้ทุกคนกำลังหัวหมุนกับการประชุมและคิดแผนการรับมือไททันแบบใหม่ อาจจะมีใครเปิดประตูเข้ามาตามหัวหน้ารีไวล์ตอนไหนก็ได้

ประเด็นก็คืออีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ต่างหาก

เอเลนพบว่าตนไม่เคยตามทันจนปวดหัวอยู่บ่อยๆ

‘แต่ว่า..นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะครับ’

ถึงมันจะไม่ใช่ข้ออ้างที่ดูมีน้ำหนัก แต่เธอก็ไม่อยากทำอะไรพิลึกพิลั่นตอนนี้และในห้องนี้..ก็มันน่าอายน้อยเสียเมื่อไหร่

ทั้งๆที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน กว่าจะพันหน้าอกและใส่ชุดของหน่วยได้ก็กินเวลานาน ถ้าต้องจูบล่ะก็..พนันได้เลยว่าต้องถอดไอ้ที่เพิ่งใส่แน่ๆ

เธอเองก็อยากออกไปฝึกกับพวกรุ่นพี่ในหน่วย จะได้เก่งมากขึ้นไปอีก

ภาวนาให้ใครก็ได้มาตามหาคนตรงหน้า จะได้หลุดพ้นจากบรรยากาศอึดอัดเสียที

‘..นั่นสินะ’

อยู่ดีๆชายหนุ่มตรงหน้าเธอก็ถอนหายใจ เปลี่ยนท่านั่งจากที่ยืนตัวตรงเป็นกอดอกพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาดูว่างเปล่าจนอ่านไม่ออก

มวลอากาศโดยรอบหนักขึ้นจนรู้สึกได้

เขาโกรธเธอหรือ?

‘เอ่อ..หัวหน้ารีไวล์..’

‘ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็อย่าหักโหมล่ะ แล้วตอนเย็นฉันจะรีบกลับมา’

เสียงเก้าอี้เลื่อนเสียดสีกับพื้นอย่างแรงดังก้อง อีกฝ่ายลุกออกจากที่ สวมเสื้อคลุมและหยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นเตรียมจะออกไป..

เอเลนเริ่มลนเมื่อใครอีกคนไม่ยอมสบตาเธอ เขาอาจจะโกรธมากก็ได้

ทั้งๆที่มันก็ไม่น่าใช่เรื่องน่าอาย..ล่ะมั้ง

กับแค่จูบเท่านั้น

ก่อนที่หัวหน้าของตนจะผลักประตูออกไป เอเลนรีบวิ่งเข้าไปหา สวมกอดเข้าที่ด้านหลังจนรู้สึกว่าอีกฝ่ายเซ เขย่งปลายเท้าเล็กน้อยเอาคางเกยไหล่คนที่โดนกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว

‘ยะ อย่าเพิ่งครับ!’

ก็แค่..จูบเท่านั้น!

ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะตั้งตัว ร่างเล็กพลิกให้คนตรงหน้าหันกลับมา ดวงตากลมโตแสดงการตัดสินใจที่เด็ดขาด แม้มือและปากจะสั่นระริกก็ตาม

ยังไงเขาก็คือคนที่เธอ..รัก

 

เอเลนส่งริมฝีปากตนประกับเข้ากับคนตรงหน้า รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่เธอจดจำได้แม่นยำ มันทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยยามใกล้ชิด

ไม่นานนักก็ผละริมฝีปากออกมาแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย ใบหน้าเห่อร้อนจนอยากหาอะไรมาปิดไม่ให้ใครเห็น

‘จูบ..แล้วนะครับ’

รีไวล์ยืนขมวดคิ้วอยู่ไม่นาน..ก็เปลี่ยนเป็นยกยิ้มมุมปาก

ทั้งขำทั้งเอ็นดูเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาถอดใจแล้วแท้ๆว่าร่างเล็กคงไม่ทำตามคำสั่งแน่นอน เดาว่าอีกฝ่ายคงกลัวที่ตนทำอาการแปลกๆใส่เลยรีบวิ่งเข้ามากอด

ครั้งแรกยอมรับว่าตกใจมาก

แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความดีใจ

..ทว่าก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่นัก

‘จูบ..หึ’

‘หะ หัวเราะอะไรน่ะครับ?’

ไม่ได้ตั้งใจ..แต่ยิ่งเห็นสีหน้าเหวอจนอ้าปากค้างไม่สมเป็นเด็กผู้หญิงก็ยิ่งอยากหัวเราะให้ดังมากขึ้น จูบอย่างนั้นเหรอ..เด็กก็ยังคงเป็นเด็ก

บางทีคงต้องสอนให้ใหม่เสียแล้ว

‘นี่น่ะไม่ได้เรียกว่าจูบหรอกนะ..สาวน้อยเอเลน

ไม่ว่าจะได้ยินชื่อตัวเองมากี่ครั้ง..แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เอเลนรู้สึกอายผสมประหม่า มันมีอะไรผิดตรงไหนกัน อีกฝ่ายบอกว่าให้จูบ เธอก็จูบแล้วแท้ๆ

แถมยังหัวเราะกันอีก

‘ก็แค่เอาปากประกบกันไม่ใช่หรือครับ?’

เด็กสาวเอียงคอ ทำหน้าตาสงสัย แม้จะทำแบบนั้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แถมล่วงเลยไปจนตอนนี้แทบไม่มีส่วนไหนบนร่างกายเล็กนั่นที่ตนไม่รู้จัก..แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ชิน

‘เหวอ!’

มันเขี้ยวจนอดไม่ได้ที่จะกระชากตัวคนตรงหน้าเข้ามาหา

เอเลนเกือบล้มหากไม่ได้อีกฝ่ายประคองตนเองไว้ ภายในพริบตาริมฝีปากร้อนก็พุ่งเข้าหา ประกบเบียดแน่นจนไม่เหลือช่องว่างให้หายใจ

‘อื้อ!’

รีไวล์ส่งลิ้นอุ่นร้อนของตนสอดแทรกเข้าไปในริมฝีปากบาง ลองลิ้มรสชาติพร้อมตักตวงความหอมหวานที่คุ้นเคย เกี่ยวกระหวัดทั้งปากปละกระพุ้งแก้มไปทั่ว

ลิ้นของอีกฝ่ายดูเก้ๆกังๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ชายหนุ่มจึงใช้ปลายลิ้นของตนสัมผัสลงไปอย่างเชื่องช้า นำทางให้รู้วิธี

ตอนนี้บรรยากาศภายนอกเริ่มร้อนทั้งที่มีลมพัดอยู่ไม่ขาด หยาดเหงื่อเริ่มซึมไปตามเสื้อผ้าจนรู้สึกได้ถึงความชื้น

มือของเด็กสาวกำแน่นเสื้อของตนแน่น ดวงตาปิดแน่นจนเกร็ง ตอนนี้แก้มที่ใสอมชมพูเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อตามแรงอารมณ์

การแสดงออกทางหน้าสีหน้าที่ซื่อตรงทำให้รีไวล์อยากกัดขย้ำอีกฝ่าย

แต่ไม่นานนักก็ผละออกเพราะเด็กสาวประท้วงด้วยการทุบไหล่ไม่หยุดจากการขาดอากาศหายใจ

‘อะ แฮ่ก..’

เมื่อเป็นอิสระมือเล็กจึงปาดน้ำลายใสที่ไหลลงมาจนเลอะปลายคาง หอบแผ่วเพื่อตักตวงอากาศเข้าปอด

จูบของอีกฝ่ายต่างจากจูบของตนเองมากมายนัก

เอเลนคิดว่ามันรุนแรงเหมือนพายุ ทั้งแข็งกร้าวและไม่ยอดลดความแรงลงจนกว่าจะพอใจ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทำให้อยากถอยห่าง

แต่ยังมีความอ่อนโยนที่แฝงมายามที่ลิ้นของคนตรงหน้าสอดแทรก ค่อยๆไต่ไปตามโพรงปาก ทั้งยังชักนำไห้อารมณ์ที่ถูกดับได้พุ่งขึ้นมาใหม่

ร่างกายร้อนผ่าวไปหมด..เหมือนทุกครั้งก่อนจะเริ่มการตรวจสอบที่ชายหนุ่มได้ทำกับเธอมาตลอด

‘อย่างนี้น่ะถึงเรียกว่าจูบ’

อีกฝ่ายประทับริมฝีปากกับหน้าผากของเธอก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง ไม่ว่าจะกี่ครั้งเอเลนก็ยังตามหัวหน้าของตนไม่ทันอยู่ดี

ก่อนประตูจะถูกปิดลง..ชายหนุ่มหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ในห้องผ่านบานพับที่แง้มออกเล็กน้อยอีกครั้ง

‘คืนนี้..ฉันจะฝึกให้เธอใหม่เอง’

เอเลนหวังว่าตนจะแค่หูฝาดไป

แถม

ในห้องประชุม

ฮันซี่ – รีไวล์..ทำไมเสื้อนายยับอย่างนั้น?

รีไวล์ – …

ฮันซี่ – ตอนเข้ามาก็ดูหอบแปลกๆอย่างกับไปทำอะไรรุนแรงมา อย่าบอกนะว่า..

รีไวล์ + เอียร์วิน : …

ฮันซี่ : ทำไมไม่บอกก่อนเล่าว่าจะออกไปล่าไททันน่ะ!? นายแอบไปคนเดียวใช่ไหม..ฉันก็อยากไปนะ!

รีไวล์ : …

เอียร์วิน : ประชุมกันเถอะนะ

-จบจ้ะ-