花咲く少女
Hana saku Shoujo
-10-
ก้าวที่หนึ่ง…เอเลนรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัวกว่าที่เคยเป็น
ก้าวที่สอง…เธอรู้สึกเหนื่อยจนต้องหยุดเดิน
ก้าวที่สาม…เธอย่อตัวลงเล็กน้อย โดยเข่าทั้งสองข้างถูกฝ่ามือยันเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม
และในที่สุด…เธอก็นั่งลงที่พื้นแถวๆนั้น
เอเลนมองไปรอบด้านก่อนจะถอนหายใจออกมา วันนี้ที่นี่ค่อนข้างเงียบเหงาเพราะหลายคนในหน่วยออกไปทำภารกิจ เธอได้ยินมาจากคุณฮันจิว่าคนในหน่วยสำรวจจำนวนหนึ่งได้ค้นพบหลักฐานสำคัญบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกไททัน หลักฐานชิ้นที่ว่าอยู่ห่างออกไปไกลจากที่นี่พอสมควร ดังนั้นจึงต้องใช้กำลังคนที่มากขึ้น
ปกติแล้วตรงโถงทางเดินมักจะมีผู้คนเดินไปเดินมาอยู่ทั้งวัน โดยเฉพาะคุณฮันจิที่มักจะชอบวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ที บางครั้งยังชอบตะโกนเสียงดังเวลาเกิดไอเดียใหม่ พอคุณฮันจิต้องออกไปทำภารกิจแล้วก็ทำให้ที่นี่เงียบเหงาไปโดยปริยาย
“ว่าไงเอเลน ช่วงนี้นายไม่สบายบ่อยนะ” เพื่อคนหนึ่งในหน่วยสำรวจเดินมาทักทายขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยไปไกล
“ก็…นิดหน่อย สงสัยเพราะสภาพอากาศล่ะมั้ง”
เอเลนไม่ได้โกหก ช่วงนี้เข้าสู่หน้าฝนแล้ว บรรยากาศรอบด้านรวมไปถึงสภาพแวดล้อมทุกอย่างกลายเป็นสีเทา มองไปบนฟ้าทีไรก็เห็นแต่ก้อนเมฆ…ก้อนเมฆ…และก้อนเมฆ ถ้าก้อนเมฆพวกนั้นหล่นลงมาทับพวกไททันจนหัวแบะก็ดีน่ะสิ
“ยังไงก็รักษาตัวด้วยล่ะ อีกไม่นานพวกเพื่อนๆนายที่อยู่ในกำแพงคงจะได้มาเจอนายที่นี่ ถ้าพวกนั้นมาแล้วเห็นนายตัวลีบเป็นกุ้งแห้งแบบนี้คงหัวเราะเยาะแหงๆ”
เอเลนได้แต่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก การที่ได้มาอยู่ที่นี่โดยถูกกันให้แยกออกห่างจากเพื่อนในกลุ่ม แถมยังไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้อีก มันกลายเป็นความเศร้าผสมหดหู่ที่ทำให้อยากถอนหายใจออกมาวันละสิบรอบ
ดูเหมือนผู้ที่เป็นฝ่ายเริ่มหยอกล้อจะรู้ตัวว่าทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกติดลบ จึงหัวเราะออกมากลบเกลื่อน
“เฮ้ๆ อย่าคิดมากน่า ถึงนายจะแห้งยังไงแต่ก็ยังสูงกว่าเจ้าอาร์มินมันนะ”
นั่นมันใช้คำปลอบที่ไหนกันเล่า!
“ถ้าอย่างนั้น…” อีกฝ่ายลดเสียงจนเหลือเพียงการกระซิบ “…ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวถ้าหัวหน้ารีไวกลับมาแล้วเจอฉันคุยกับนายล่ะก็…” มีการทำท่ามือปาดคอประกอบโยคแสนขนหัวลุกอีกต่างหาก
“เกี่ยวอะไรกับหัวหน้าด้วยล่ะ…” เอเลนทำหน้าตาสงสัย การที่เพื่อนในหน่วยจะมาคุยกับเธอมันเกี่ยวอะไรกับคนๆนั้นด้วย?
คราวนี้คู่สนทนาทำหน้าตาเหมือนเวลากินอาหารที่คุณฮันจิทำ “ก็…เอ่อ…ยังไงดีล่ะ มันก็พูดยากน่ะ”
เอเลนเริ่มรู้สึกว่าแรงกายได้กลับคืนมา เธอยืนขึ้นพร้อมจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายแล้วพยายามส่งสารแบบไร้เสียงไปว่า ‘ถ้าไม่บอกนายตาย!’
แม้คนตรงหน้าจะดูลังเล แต่ท้ายที่สุดก็ยอมเปิดปาก “ก็หัวหน้ารีไวน่ะ…ห้ามไม่ให้พวกฉันเข้าไปคุยกับนายน่ะสิ”
“หา?”
“ฉันไม่ได้โกหกนะ นี่พูดจริงๆ”
“ทำไมเขาถึงต้องห้ามไม่ให้พวกนายเข้ามาคุยกับฉันด้วยล่ะ? พวกเราเป็นเพื่อนร่วมหน่วยสำรวจกันนะ”
“หัวหน้ารีไวบอกว่าคำสั่งของเขาถือเป็นที่สุด ห้ามสงสัยหรือถามอะไรทั้งสิ้น อ้อ…แต่เขาให้นายคุยกับหัวหน้าเออร์วินกับคุณฮันจิได้นะ”
เด็กสาวถอนหายใจออกมา พอเพื่อนของตนพูดแบบนั้นออกมาก็มีแต่ต้องทำใจเท่านั้น ถ้าหัวหน้ารีไวไม่อยากให้สงสัย…ก็ไม่ควรสงสัย ถ้าเขาไม่อยากให้ถาม…ก็ไม่ควรถาม หากสงสัยหรือถามหาเหตุผลก็อาจจะถูกโยนออกไปให้พวกไททันกินก็เป็นได้
แต่การที่ให้คุยได้แค่กับหัวหน้าเออร์วินกับคุณฮันจิ…มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ
เอเลนตบไหล่อีกฝ่ายพร้อมโบกมือลาเพื่อนที่แม้จะกลัวแต่ก็ยังอุตส่าห์สละเวลามาคุย ดูเหมือนหัวหน้ารีไวจะไปทำอะไรที่เกินความจำเป็นอีกแล้ว ตอนนี้เธอออกไปข้างนอกไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ซ้ำพวกเพื่อนๆยังถูกออกคำสั่งมาว่าไม่ให้เข้ามาคุยกับเธอ หัวหน้ารีไวเห็นเธอเป็นอะไรกันแน่…
นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป
อย่างวันนี้ที่เขาต้องออกไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ…ก็ยังไม่เห็นจะบอกเธอแม้แต่คำเดียว อย่างน้อยขอแค่มาบอกเธอว่าจะไปไหน ไปทำอะไร จะกลับตอนไหนก็ยังดี ไม่ใช่หายไปแบบนี้
ร่างกายทั้งหมดหยุดชะงัก เอเลนเริ่มทบทวนความคิดของตนตั้งแต่เริ่มต้น อยากให้บอก…อยากให้หัวหน้ารีไวมาคุยกับเธอ…อยากให้เขาสนใจ
นี่ไม่ใช่ว่าเธอทำตัวเหมือนภรรยาที่รอสามีกลับบ้านอยู่เหรอ!?
“เอเลน! มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงเนี่ย ฉันตามหาแทบแย่เลย”
เด็กสาวสะดุ้งเมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คุณฮันจิยืนอยู่ตรงหัวมุมทางเดิน ท่าทางเหนื่อยหอบนั่นแสดงว่าคงจะวิ่งตามหาเธอมานานพอสมควร
“ขะ ขอโทษครับ พอดีผมอยากออกมาเดินเล่นน่ะ”
อีกฝ่ายหัวเราะพร้อมโบกมือแสดงท่าทีว่าไม่เป็นไร “ไม่ต้องแสดงสีหน้าสำนึกผิดขนาดนั้นก็ได้ ฉันเห็นแล้วหมั่นเขี้ยวน่ะ” เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ยังเอื้อมมือมาดึงแก้มของเธอให้ยืดออก
“อะ โอ๊ย!” เอเลนคิดว่าแก้มของเธอคงจะแดงไปหมดแล้วแน่ๆ ก็คุณฮันจิแรงน้อยเสียเมื่อไหร่
“อ๊ะ จริงสิ…จะมัวแต่เล่นไม่ได้ เออร์วินให้มาตามน่ะ เห็นว่าอยากขอความเห็นเรื่องที่เกี่ยวกับไททัน”
“เกี่ยวกับไททัน? ผมไม่คิดว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้นะครับ” อย่าว่าแต่เรื่องไททันเลย เรื่องอื่นๆก็คงช่วยไม่ได้เหมือนกัน
“เอาน่าๆ มาด้วยกันเถอะ อย่างน้อยๆถ้าได้ไปเห็นสิ่งที่พวกเราเก็บมาได้วันนี้ก็อาจจะนึกอะไรออกก็ได้”
มือของเด็กสาวถูกจับเอาไว้อย่างแน่นราวกับอีกฝ่ายกลัวเธอจะหนี คนตรงหน้าดึงเธอตามไปโดยไม่ให้โอกาสโต้แย้งใดๆ เอเลนได้แต่ถอนหายใจกับความเอาใจของคนในหน่วยนี้
หัวหน้ารีไวกับคุณฮันจิก็เอาแต่ใจไม่แพ้กันล่ะน่า…
“มาแล้วเหรอเอเลน นั่งก่อนสิ”
พอคุณฮันจิผลักประตูห้องประชุมเข้าไป เอเลนก็เห็นคนในหน่วยหลายคนที่คุ้นเคยกันดีนั่งอยู่รอบๆโต๊ะที่มีกระดาษอยู่เต็มไปหมด ถ้าให้เดาก็คงเป็นแผนที่และกลยุทธ์ที่จะใช้ในการปราบไททัน
เธอก้มหัวให้หัวหน้าหน่วยเออร์วินเล็กน้อยก่อนจะรีบหลบตา เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอไม่อยากจ้องหน้าเขานานๆเลยหันไปคุยกับคนอื่นต่อ
ความจริงแล้วเธอไม่ได้โกรธหรือเกลียดหัวหน้าหน่วยเออร์วิน แต่พอเห็นหน้าเขาทีไรก็มักจะมีภาพเดิมๆผุดขึ้นมาในสมอง ภาพในวันนั้น…วันที่มือของเขาแนบชิดกับร่างกายของเธอ
คุณเออร์วินเป็นคนดี เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเป็นเพียงแค่ความผิดพลาด…ใช่…มันไม่มีอะไรเลย อีกฝ่ายก็แค่ทำไปตามสัญชาตญาณ
…ทว่าสัมผัสนั้นยังคงอยู่
ความอ่อนโยนที่เธอสัมผัสได้…ช่างแตกต่างใครอีกคน
“มาทำอะไรที่นี่?”
เอเลยสะดุ้งเป็นครั้งที่สองของวัน อาการเหม่อเลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูของผู้มาใหม่ เสียงที่ส่งคำถามมาไม่ได้ดังจนเป็นการตะโกนแบบคุณฮันจิแต่ราบเรียบและทรงพลัง แค่เพียงเท่านี้เธอก็รู้แล้วว่าคือใคร…
“หัวหน้ารีไว?”
“ใครให้นายมาที่นี่ ตอนนี้พวกฉันกำลังประชุมกันอยู่”
น้ำเสียงแข็งกระด้างและนัยน์ตาที่ส่อแววเอาเรื่องทำให้เอเลนตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กสาวกัดริมฝีปากเพื่อลดความตึงเครียดโดยอัตโนมัติ
ฮันจิที่นั่งอยู่ข้างๆเริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมคุกคามจึงพูดแทรก “นายนั่งลงก่อนได้ไหมรีไว มีอะไรก็ค่อยๆพูดกันสิ”
“แล้วทำไม… / ฉันเรียกเอเลนมาที่นี่เอง”
เออร์วินส่งเสียงดังแทรกขัดการสนทนาเมื่อเห็นว่าเรื่องราวตรงหน้าท่าทางจะไม่จบลงง่ายๆ เขาสังเกตว่าเด็กสาวมีท่าทางเหม่อลอยและดูอ่อนเพลียตั้งแต่ที่เข้ามาในห้องแล้ว การที่จะต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับรีไวอีกก็ไม่ใช่เรื่อง และการที่เขาเรียกเอเลนมาที่นี่ก็เพราะมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ
ถ้าให้เลือกเออร์วินก็อยากให้เอเลนอยู่แต่ในห้อง เพราะทุกอย่างรอบตัวดูจะอันตรายไปเสียหมดสำหรับเด็กสาวที่ปกปิดตัวตนที่แท้จริง ที่นี่มีแต่ผู้ชาย…ถ้านับฮันจิ จึงอาจเป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายได้ถ้าไม่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
เอเลนเองก็เหมือนจะดึงดูดให้ใครหลายคนเข้าไปหา เออร์วินสังเกตเห็นว่าสมาชิกหลายคนในหน่วยสำรวจอยากจะเข้าไปคุยด้วย แต่เพราะมีรีไวคอยส่งสายตากำราบอยู่เลยไม่ค่อยกล้านัก
เขาเองก็ไม่อยากให้ใครไปยุ่มย่ามกับเด็กสาวให้มากนัก ไม่ใช่เพราะอารมณ์ส่วนตัว…หากแต่อยากจะช่วยปกป้องและดูแลอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เนื่องจากเขาเองก็ถือว่าตนได้ทำความผิดต่อเด็กสาวเอาไว้ ซึ่งความผิดนั้นคงยากที่จะปล่อยผ่านไปได้
หัวหน้ารีไวไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างกระแทกกระทั้น ฮันจิรีบหันมากระซิบกระซาบกับเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อารมณ์บูดขนาดนี้ สงสัยว่าคืนนี้จะหนักหน่อยนะเอเลน”
เอเลนเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอีกครั้งกับคำพูดของคนข้างๆ…
“เอาล่ะ เริ่มประชุมกันเถอะ”
หัวหน้ารีไวกับคุณฮันจิดูจะสนิทกันมากกว่าที่เห็น เอเลนเห็นภาพที่หญิงสาวพูดอะไรตลกๆออกมาแต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ปกติแล้วหัวหน้ารีไวควรจะเดินหนีหรือไม่ก็ตวาดกลับไป แต่พอเป็นคุณฮันจิแล้วก็มีแต่การปิดปากเงียบพร้อมฟังเรื่องตลกนั่นต่อ
ความสัมพันธ์ของหัวหน้าหน่วยเออร์วิน หัวหน้ารีไว และผู้บังคับหมู่ฮันจิ ดูจะซับซ้อนมากกว่าที่เธอเห็น สำหรับหัวหน้าหน่วยเออร์วินนั้นเธอเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่สุด ทั้งยังมีงานให้ทำอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ค่อยได้เขาในมุมผ่อนคลายนัก แต่สำหรับหัวหน้ารีไวและคุณฮันจินั้น…เธอว่าพวกเขาสองคนแตกต่างออกไป
ทั้งสองคนไม่มีอะไรที่เหมือนกัน แค่นิสัยเจ้าอารมณ์ของหัวหน้ารีไวกับนิสัยร่าเริงจนเกินเหตุของคุณฮันจิก็ไม่น่าจะทำให้สองคนนี้อยู่ร่วมหน่วยเดียวกันได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเอเลนก็ยังเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ตอนคุณฮันจิทำการทดลอง…หัวหน้ารีไวก็จะยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล ส่วนตอนที่หัวหน้ารีไวกำลังฝึก…ก็จะเห็นคุณฮันจิส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้ๆ
ยิ่งแตกต่างก็ยิ่งดึงดูด
อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ที่ทำให้พวกเขายังคงอยู่ด้วยกัน…แม้จะทะเลาะกันทุกวันก็ตาม
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เอเลนก็รู้สึกปวดในอกด้านซ้าย หัวใจดูจะเต้นแรงขึ้น ทั้งๆที่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมพอมองภาพที่หัวหน้ารีไวกับคุณฮันจิกำลังคุยกันแล้วมันรู้สึกแปลกๆก็ไม่รู้…
เหมือนกับว่า… เธอกำลังอิจฉาทั้งคู่อยู่เลย
“ไง เอเลน”
เสียงเรียกดังมาก่อนเจ้าตัวจะมาถึง หญิงสาวโบกไม้โบกมือยิ้มร่า ก่อนจะเข้ามาตบไหล่ทักทายอย่างสนิทสนม และคงเป็นเพราะคิดอะไรหลายอย่างอยู่ เธอจึงสะดุ้งโดยแรง
“ฉันหนักมือเกินไปเหรอเอเลน? เจ็บมากมั้ย”
ฮันจิเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใหม่ แล้วถามอย่างเป็นห่วง ดวงตาสีสีน้ำตาลอมแดงฉายแววกังวลจนเธอรู้สึกละอายแก่ใจที่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่คิดอะไรเพลินๆ อยู่… เลยตกใจนิดหน่อย”
ประโยคท้ายเบาเสียงลง เนื่องจากร่างของใครอีกคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยท่าทีหงุดหงิดเต็มแก่
“ยัยแว่นกระหายเลือด… ใครใช้ให้อู้งานกัน?”
หัวหน้ารีไวส่งเสียงสบถสั้นในลำคอ แล้วคว้าปกคอเสื้อของคุณฮันจิทำท่าจะลากไปทั้งอย่างนั้น
“เอ๋? ฉันเปล่าอู้นะรีไว แค่จะชวนเอเลนไปดูการทดลองเอง เปิดหูเปิดตาไง!”
หญิงสาวที่ห้อยหัวบนเงื้อมมือหัวหน้ารีไว แอบขยิบตาให้เธอ สายตาวิบวับเหมือนชวนกันไปชมสวนดูเครื่องประดับ มากกว่าไปดูการทดลองทางกายภาพกับไททันในลานหน้าปราสาท
“การทดลองโรคจิตของเธอมีใครเขาอยากดูกัน?”
ซึ่่งได้รับการดูแคลนจากปากของชายหนุ่มเพียงคนเดียวในตอนนี้ทันที ดวงตาสีเทาคมกริบตวัดจ้องอย่างน่ากลัว ดุจัดชนิดต่อให้เป็นใครก็คงต้องเกรงกันหัวหด
แต่ไม่ใช่กับผู้บังหมู่หญิงเดี่ยวแห่งทีมสำรวจ
“โฮ่ว โหดร้ายที่สุด! บอกว่าสิ่งที่ฉํนทำกับเรซซี่กับนีนี่โรคจิตได้ไง!”
ฮันจิโอดครวญและประท้วงขอความเป็นธรรมให้แก่ตัวเอง เป็นภาพที่เอน็จอนาถใจแก่ผู้พบเห็นไม่น้อย เพราะเจ้าตัวยังถูกหิ้วตัวลอยแท้ๆ (แต่ขาระพื้นเพราะสูงกว่าคนหิ้ว)
หากยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อปากต่อคำกับหัวหน้าทหารได้อย่างแรงดีไม่มีตก หรือหวาดกลัวอารมณ์เดือดกรุ่นของคนความอดทนต่ำสักนิด
‘โอ๊ยย รีไวน่ะนะ น่ากลัว ไม่หรอก ให้ฉันไปพูดกับเออร์วินยังน่าหวั่นกว่าเยอะ หมอนั่นแค่ปากเสียกับหน้าตาไม่รับแขกเท่านั้นแหละ“
จู่ๆ คำพูดที่คุณฮันจิเคยบอกไว้ก็ดังก้องในหัว
นั่นสิ… เพราะสนิทกันมากและอยู่ด้วยกันมานาน เลยเข้าใจกันอย่างทะลุปุโปร่ง
เทียบกันกับเธอแล้ว ที่ไม่เคยเข้าใจหรือตามความคิดของหัวหน้าเลยสักอย่าง มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน
เจ็บ… ความปวดร้าวที่อกข้างซ้ายทวีความรุนแรงขึ้นอีกแล้ว
ทั้งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือโดนโจมตีแท้ๆ แต่กลับเจ็บแปล๊บขึ้นมาเป็นระยะ ขอบตาเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่เริ่มไหลรินออกมาคลอหน่วย
เมื่อเห็นเอเลนเงียบไป คนที่เถียงกันสองคนจึงได้ฤกษ์หันกลับมา แต่ช้าไปเสียแล้ว
“ผม…คิดได้ว่าลืมเอาผ้าที่แช่ไว้มาซักน่ะครับ ขอตัวไปทำก่อน”
พูดเสร็จร่างสูงโปร่งของเด็กสาวผมสีน้ำตาลก็วิ่งจากไปโดยเร็ว ไม่คิดรอคำอนุญาตจากปากผู้บังคับบัญชาด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มมองตามร่างของเด็กสาวที่หายลับไปในป้อมปราสาทจนสุดสายตา โดยไม่เอ่ยคำพูดใดอีกเลย
“เด็กนั้นดูไม่ค่อยดีนะ จะไม่ตามไปเหรอนายน่ะ?”
เพื่อนสนิทเอ่ยถาม ในน้ำเสียงไม่มีการกระเซ้าเย้าแหย่ใด มีเพียงความเป็นห่วงจริงจัง
รีไวปากหนัก… ไม่ค่อยพูด เป็นพวกปากว่ามือถึง เอ๊ย เน้นการกระทำมากกว่าคำพูด
“การกระทำชัดเจนยังไง คำพูดก็สำคัญไม่ต่างกัน ฉันบอกก่อนเลยผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไงก็อยากได้คำว่า ‘รัก’ จากคนของตัวเองกันทั้งนั้น”
หัวหน้าทหารหรี่ตามอง
“ลอกมาจากหนังสือเล่มไหนล่ะ?”
ฮันจิกลอกตาสามที แล้วเบ้ปากใส่
“สักเล่มที่กองๆ อยู่! ฉันสรุปเป็นภาษาชาวบ้านล่ะกัน หัดพูดหวานๆ ซะบ้าง เด็กสาววัยนี้อ่อนไหวนะ”
คนโดนเทศน์ทอดสายตาไกลออกไป สุดปลายทางที่ดวงตาคู่นี้จับจ้องคือเงาร่างของเด็กสาวสีน้ำตาลเข้มที่กำลังผลุบๆโผล่ๆ ทางโน้นทีทางนี้ที เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากตนให้มาร่วมฝึกซ้อมหรือทำกิจกรรมอื่นใดนอกปราสาท เจ้าตัวเลยวิ่งวุ่นหางานให้ตัวเองทำแทน
“อยู่เฉยๆ ไม่เป็นสินะ”
“เด็กดีก็งี้ เอ็นดูมากๆ แต่อย่าทำให้เฉามือซะล่ะ”
ความหมายโดยนัยคืออย่าหักโหมหรือเอาเปรียบจากร่างกายสาวในเวลากลางค่ำกลางคืนให้มากนัก
“แล้วก็อีกอย่าง… ฉันพูดจริงนะ เรื่องที่เด็กนั่นดูไม่ค่อยดี จะตรวจละเอียดๆ ต้องพึ่งหมอที่ชำนาญการกว่านี้ไม่ใช่ฉัน”
ฮันจิปัดหญ้าที่ติดตามเนื้อตัวลวกๆ เอ่ยทิ้งท้ายไว้ แล้วเดินกลับไปยังลานทดลองแทน
รัก….งั้นเหรอ?
ความรู้สึกนึกรักมันก็เลื่อนลอยพอๆ กับคำว่า ‘ตลอดกาล’ นั่นแหละ
รีไวคิด
ตอนนี้เขารู้เพียงว่าเด็กนั้นเป็นของของเขา เป็นของสำคัญที่ต้องแลกชีวิตปกป้อง
ยิ่งได้ครอบครองยิ่งปรารถนาให้มันลึกซึ้งผูกพันธ์
เขาไม่เชื่อมั่นในคำว่า ‘รัก’ หรือ ‘ตลอดกาล’
ชีวิตที่ผ่านมาจะตายวันตายพรุ่งยังสุดจะรู้ สิ่งที่เขาทำก็แค่…
คว้าสุดมือ และเก็บรักษาของสำคัญที่ได้มาอย่างดีเท่านั้น และต่อให้ต้องพังทลายก็ต้องด้วยน้ำมือเขา หาใช่ใครอื่น
ไม่ดีเลย… ไม่ดีเลยจริงๆ
น้ำตาหยดลงบนผืนผ้้าเปียก และยังคงกลั้นตัวจากนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่งามร่วงรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เธอ… อิจฉาคุณฮันจิ อิจฉาที่สามารถยืนเคียงข้างหัวหน้ารีไวได้
อิจฉา…ที่สามารถเข้าอกเข้าใจคนคนนั้นได้
ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือคำพูด… ราวกับมีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างคนอื่นกับทั้งคู่ เส้นแบ่งของคนนอกและคนพิเศษ
ไม่ชอบเลย… ความรู้สึกแบบนี้ ทั้งที่แค่เรื่องทั้งหมดในตอนนี้ก็เป็นยิ่งกว่าฝันสำหรับเธอที่ในอดีตได้แต่เฝ้ามองหัวหน้ารีไวไกลๆ เท่านั้น
ตอนนี้ได้ผูกพัน… เป็นคู่ชีวิตแท้ๆ
แต่เธอกลับเจ็บปวด… และปวดร้าวมากขึ้นทุกที
เอเลนคิดถึงสมัยเด็ก ครั้งที่ยังอยู่เขตชิกันชินะ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่มารอยลโฉม ‘ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดขอมนุษยชาติ’ มือเล็กๆ เอื้อมไปยังคนที่ห่างไกลเหลือเกิน
อยากมีปีก… ปีกแห่งเสรีภาพที่จะกางบินไปนอกกำแพงเช่นคนคนนั้น
ความคิดในตอนนั้นช่างไร้เดียงสาและใสบริสุทธิ์เหลือเกิน
แต่ตอนนี้… เธอไม่อาจทำได้อีกแล้ว
พอได้มาก็ยิ่งหวังถึงสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปอีกขัั้น
และในยามนี้… หัวใจของเธอก็เหมือนกับจะห่างไกลมากขึ้นทุกที
ความอิจฉาที่สุมแน่นในอกข้างซ้่ายจนเจ็บร้าวนี้…
เธอจะกดมันไว้…. เก็บให้จมลึก และมีเพียงตัวเองที่ล่วงรู้