Guilt-3-

Title : Guilt
Fandom : Shingeki no Kyojin or Attack on Titan
Genre : AU , Angst, Drama 
Rate : PG-15
Pairing: Levi x Eren
 
 

::Guilt::

“กินดีๆ อย่าทำเลอะเอเลน”

ปากบ่น ตรงข้ามกับมือเรียวยาวที่เอื้อมไปหาแก้มใสนั้น เศษขนมปังที่ติดอยู่เล็กน้อยถูกข้อนิ้วเกลี่ยออกอย่างเบามือ ใบหน้าเฉยชาเหมือนไม่ใส่ใจ หากการกระทำกลับเอาใจใส่และอ่อนโยน

เจ้าหนูวัยสิบขวบเงยหน้ามอง-ผู้ปกครอง-ตาใส เส้นผมตัดสั้นสีน้ำตาลเข้มจัดนั้นยุ่งเหยิง ผลจากการเกลือกกลิ้งไปมาตอนนอนกลางวัน

มองอย่างไรก็หาความเหมือนกันไม่เจอ แต่กลับเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด

รู้ตัวอีกทีเขาก็เลี้ยงเด็กตรงหน้ามาห้าปีแล้ว จากที่คิดว่าคงทนไม่ไหว การมานั่งประคบประหงมใครสักคนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดจะทำ หากกับเด็กที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองสักนิดนี่ เริ่มแรกคือความรู้สึกผิด ต่อมาคือความเป็นห่วงจริงจัง… ใส่ใจราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

ซ้ำ…เอเลนยังไม่งอแง ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย แถมติดแจ

น่าแปลก…

จนเหมือนปาฎิหาริย์

แต่ส่วนหนึ่งคงเพราะ…

…………………………………..

……………….

……..

…..

..

“ภาวะสูญเสียความทรงจำ?”

 

รีไวทวนประโยคที่ได้รับฟังมา แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยเหมือนไม่ตกใจอะไร แต่แววตาที่กระตุกวาบนั้นบ่งบอกถึงความตระหนกอย่างชัดเจน

“หลักๆ ก็มาจากการช็อคน่ะแหละ จริงอยู่ที่สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนโดยตรง แต่ภาพของแม่ที่จมกองเลือดตรงหน้า ความเคว้งคว้างที่จู่ๆ ก็ไม่เหลือใครเลย”

หญิงสาวพูดเรียบเรื่อยด้วยใบหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก ไม่มีท่าทางล้อเล่นเช่นทุกที

“อาการเครียดอย่างรุนแรงกับภาพที่เห็นไปกระตุ้นให้เกิดภาวะทางสุขภาพจิต”

ฮันซี่โยนแฟ้มผู้ป่วยในข้ามเกือบตกโต๊ะฝั่งที่เขานั่ง ดวงตาสีน้ำตาลเบื้องหลังกรอบแว่นนั่นมีความเสียใจและสงสารปะปนกันไปอย่างแยกไม่ออก

“ไม่เพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันก่อน ความทรงจำเกี่ยวกับบุคคลอื่นๆ ก่อนหน้าทั้งหมด เอเลนจำอะไรไม่ได้เลย”

จิตใจเป็นเรื่องซับซ้อน ยิ่งกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโตในวัยนี้ยิ่งเป็นสิ่งที่เปราะบาง หัวเลี้ยวหัวต่อหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว

“เรื่องพ่อแม่ก็ด้วย… แต่ทักษะพื้นฐานกับความสามารถในชีวิตประจำวันกลับยังไม่หลงลืมไป”

 

ผู้ฟังเปิดแฟ้มข้อมูลผู้ป่วยอ่านประกอบไปด้วย ซึ่งเป็นไปตามที่ฮันซี่พูดทุกอย่าง

รีไวปิดมันลง เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องเขม็งมา

‘นายจะเอายังไงกับเด็กนั้น?’

คำถามถูกส่งมาโดยไร้คำพูด

…………………………………..

……………….

……..

…..

..

 “อยู่กับฉัน…..ดีแล้วเหรอ?”

โพล่งถามออกไปโดยไม่คิดจะได้รับคำตอบ… กับเด็กไม่ประสีประสาตรงหน้าที่ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ถูกถาม เอเลนกะพริบตาปริบๆ เด็กน้อยยังคงมองมาที่เขาเหมือนเดิมด้วยดวงตาสีเขียวใสมรกตอันซื่อบริสุทธิ์คู่นั้น

ดวงตาแบบเดียวกับเมื่อห้าปีก่อน…

จากวันเป็นเดือน…..

เดือนขยับเป็นปี ปีแล้วปีเล่าผ่านเลยไป

เขากับเอเลนก็ยังอยู่ด้วยกัน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงก่อนวัยห้าขวบของเด็กนั้น ความทรงจำที่เป็นหลุมดำมืดปริศนาไม่เคยได้รับการสนใจจากคนที่สูญเสียความทรงจำและคนที่รู้ความจริงก็เลือกที่จะลืมเลือนมันไป

“ไปล่ะคร้าบ~บ รีไวซัง!”

เสียงใสๆ เอ่ยบอกเป็นกิจวัตรยามเช้า รีไวเงื้อมประตูเลื่อนมามองส่งเด็กหนุ่มไปโรงเรียน ใบหน้าเนียนยิ้มสดใส ก่อนโบกมือลา ปัจจุบันเอเลนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีสุดท้ายซึ่งกำลังจะจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว

“รีบกลับล่ะ”

เอ่ยสั่งตามความเคยชินด้วยสีหน้าเฉยชาราวกับพูดพอเป็นพิธี แต่ในสายตาคนร่วมห้องกว่าสิบปีกลับยิ้มขำ

“จะรีบกลับครับผม!”

ก่อนจะตะเบ๊ะหรือก็คือทำท่าวันทยหัตถ์ล้อเลียนเขาประหนึ่งรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คนโดนล้อถลึงตาดุๆ ใส่หนึ่งที แล้วจึงปิดประตูตัดบท มือยกถ้วยชาที่อุ่นไว้ขึ้นมาจรดริมฝีปาก ละเลียดรสขมฝาดที่ไหลผ่านลำคอไป ฟังเสียงฝีเท้าวิ่งตึ่กตั่กดังมาถึงในห้องทำงานส่วนตัวของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป

ลามปามขึ้นทุกวัน….

 

รีไวคิด ขณะพลิกหน้าเอกสารที่เพิ่งได้รับมาสดๆร้อนๆ ปฏิเสธงานภาคสนามที่ต้องลงมือเอง แต่ยัยสี่ตากับเจ้าเออร์วินก็ไม่วายยัดเยียดงานอื่นมาให้จนได้ บอกช่วยๆ กันหน่อย ซึ่งค่าตอบแทนไม่ใช่ตัวเงิน หากเป็นการ-กัน-พวกที่เข้ามาวนเวียนรอบๆ

การออกจากราชการของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการณ์พิเศษไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าหน้าที่ล่วงรู้ความลับในองค์กรและระดับสูงเยอะอย่างเขา แถมพ่วงระเบิดลูกเบ้อเริ่มเป็นเด็กที่เบื้องบนอยากกำจัดในฐานะพยานมีชีวิตของครอบครัว ‘เยเกอร์’ ที่อยากลบจากทุกแฟ้มประวัติ

ซิกแซกสารพัด บิดเบือนประวัติเด็กนี้ในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์เขาก็ทำเพื่อให้ได้มาเอเลนดูแลเอง เพราะไว้ใจใครนอกจากตัวเองไม่ได้ การสืบสาวต้นตอของภารกิจ-ครั้งนั้น-ไม่มีอะไรคืบหน้า คล้ายไล่ตามหมอกควันที่พอคว้าจับได้ก็สลายหายไป ไม่มีร่องรอยอะไรให้ติดตามต่อได้

แสงสีที่ร้อยเรียงเป็นเส้นสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมเสียงระเบิดก้องกัมปนาท ดอกไม้ไฟหลายลูกถูกจุดขึ้นเป็นสัญญาณเปิดงานเทศกาลประจำเมืองเป็นโชว์เรียกน้ำย่อย ก่อนชุดใหญ่ที่กำลังจัดเตรียมอยู่

เอเลนในชุดยูคาตะสีแดงเข้มผูกโอบิสีเดียวกับผม เงยหน้ามองขึ้นไปเบื้องบน รอยยิ้มกว้างค่อยๆ แย้มบนริมฝีปากนั้น แล้วคลี่ออกกว้างอย่างงดงาม ดวงตาสีเขียวใสสุกสว่างล้อรับแสงสีของโคมไฟที่เรียงรายอยู่ตามซุ้มของงานเทศกาล แววตาฉายเพียงภาพของดอกไม้ไฟน้อยใหญ่ละลานตาบนผืนฟ้ายามราตรี

“รีไวซังๆ ดูนั่นสิครับ!!”

เด็กหนุ่มเขย่าแขน-ผู้ปกครอง-ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ชี้ชวนให้ดูดอกไม้ไฟที่ยามนี้ค่อยๆ สิ้นแสงมอดดับและร่วงลงบนพื้น

งดงามตระการตาพริบตา หากตรึงใจเนิ่นนานมิอาจลืม

นั่นคือความงดงามของดอกไม้ไฟ

รีไวเหม่อมองภาพเบื้องบนนิ่งนาน รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถูกเด็กหนุ่มลากไปตามร้านรวงต่างๆ อย่างสนุกสนาน

ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ นึกระอาในความร่าเริงเกินเหตุที่กระตือรือร้นจนเกินพอดีนั้น

เหมือนเด็ก…

รีไวคิด ขณะที่มือเรียวนั้นผละจากไปแล้วเพื่อลองเล่นยิงปืน ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ราวกับเดินคนเดียวและไม่ใส่ใจอะไ หากสายตากลับจับจ้องแผ่นหลังของเด็กหนุ่มในปกครองวิ่งเข้าออกร้านโน้นร้านนี้โดยไม่ละสายตาไปไหน ความเป็นห่วงส่วนหนึ่ง

แต่อีกส่วน…

ไม่แค่หญิงสาวหรือเด็กสาวที่เผลอไผลไปกับใบหน้าหวานๆ ที่ยิ้มร่าไปทั่วของเด็กคนนั้น แต่พวกผู้ชายก็ยังจ้องกันจนเหลียวหลัง ซึ่งที่พวกนั้นมองไม่ใช่หน้าแป้นแล้นนั้น แต่เป็นผิวขาวๆ ที่โผล่พ้น ชุดยูคาตะยามที่เด็กนั้นไม่ระวังตัว ตอนก้มลงไปลองช้อนปลาทองหรือจะตอนที่ขยับชายยูคาตะท่อนบนมาพัดกระพือเรียกลม

อันตราย…

“อ๊ะ! รีไวซัง!!”

เจ้าของชื่อเกือบผงะถอย เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าแทบประชิดดวงตา

แอปเปิ้ลเชื่อมลูกน้อยลอยเด่นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เกเรบนริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มตาสีเขียวใส มือเรียวยื่นมาเกยแทบถึงปากราวกับจะป้อน  แต่แทนที่จะยืนอยู่เฉยๆ ให้เด็กบริการแต่โดยดี มือหยาบกลับคว้าข้อแขนของคนอายุน้อยกว่ามาใกล้

ใบหน้าคมก้มต่ำลงจนชิดผลไม้สีแดงสดนั้น นัยน์ตาสีเทาคู่เงยสบกับดวงตากลมโตที่จ้องมาอย่างคาดไม่ถึง

และไม่ละจากข้อแขนที่จับไว้…ปลายลิ้นแตะลงบนผิวเปลือกแอปเปิ้ลที่ถูกเชื่อมด้วยน้ำหวาน ค่อยๆ เล็มเลียอย่างช้าๆ ลองชิมรส ก่อนจะอ้าปากออกกว้างเพื่อกัดกิน

การกระทำทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่มที่แก้มซับสีระเรื่อน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว

“ก็ไม่เลว”

คนอายุมากกว่ากล่าว ทั้งที่ยังเกาะกุม ข้อมือของเด็กตรงหน้าไว้ไม่คลาย แล้วจับจูงราวกับอีกฝ่ายยังเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ

ขายาวกว่าแท้ๆ แต่กลับต้องรีบก้าวให้เร็วมากขึ้น เพียงเพื่อจะเดินตาม-ผู้ปกครอง-ที่เดินนำอยู่ให้ทัน

“เราจะไม่รอดูดอกไม้ไฟชุดสุดท้ายเหรอครับ? อุตส่าห์ได้ออกมาด้วยกันแท้ๆ”

เจ้าตัวคะยั้นคะยอผสมไซโคให้เขาออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ หลังจากอุดอู้ทำงานอยู่ในห้องมาเป็นสัปดาห์ โฆษณาสารพัดว่างานรื่นเริงจะช่วยให้จิตใจแจ่มใสขึ้น หน้าจะได้ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ทำงานได้มากขึ้น

แอบแขวะกันเรื่องอายุชัดๆ… เหตุผลจริงๆ ของเด็กนี้ น่าจะเป็นเพราะอยากมากับเขาซะมากกว่า ไม่ใช่เรื่องประสิทธิภาพการทำงานหรือจิตใจสดชื่นอะไรนั้น ทั้งที่บอกไปแล้วว่า ‘ไปกับเพื่อนก็ได้’ ยัยเด็กผู้หญิงมืดมนกับเจ้าหนูที่ดูเผินๆ ไม่มีพิษภัย แต่…

ตอนที่กำลังจะปฏิเสธ เจ้าเด็กนี้กลับทำตาเหมือนลูกหมาถูกทิ้ง หูลูบหางตก ริมฝีปากพึมพำงึมงำราวกับเสียงครางงึดๆ โอดครวญ แค่ความรู้สึกของเด็ก…ที่ยังติดคนเลี้ยง อยากได้รับความสนใจ อยากอยู่ใกล้ๆ คลอเคลียเหมือนวันเก่าๆ

เนื่องจากระยะหลังๆ หรือถ้าจะพูดให้ถูก… คือเด็กคนนี้เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มรักษาระยะห่างมาขึ้น จากที่แต่ก่อนนอนด้วยกันก็ทำห้องแยกให้ เคยเล่นหัวหรือสัมผัสแบบใกล้ชิดอย่างจับผม ลูบหัวก็ไม่มี

จริงอยู่เขาไม่มีรสนิยมชอบเด็กหรืออะไรเถือกนั้น หากความผูกพันที่สั่งสมมานานทับถมกันจนความรู้สึกเริ่มแรกที่สามารถแตะต้องได้อย่างบริสุทธิ์ใจมันหายไป อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยอนุญาตให้ใครคนไหนล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวมากขนาดนี้ วนเวียนอยู่ใกล้ๆ ลืมตาขึ้นก็เห็น ก่อนหลับตาก็เป็นคนสุดท้ายที่ตามติดไปในความฝัน

เด็กนี้อายุยังน้อย… ไม่ควรต้องมาผูกติดกับคนแบบเขา เขาไม่ได้เลี้ยงเด็กนี่ให้มาเป็นของตัวเอง แต่ดูแลมาเพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แทนพ่อแม่ แล้วจะปล่อยมือเมื่อถึงเวลา

ก็เท่านั้นเอง…

ฉะนั้น…. ไอ้เรื่องที่ว่า-หวง-จนไม่อยากให้ใครก็ตามเห็นนั่นน่ะ ไม่มีในหัวเขาแน่นอน

ภายใต้ทางเดินมืดสลัวไร้แสงไฟ… ฝีเท้าที่ย่องย่างอย่างเงียบกริบก็มาหยุดตรงหน้าประตูห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของบ้าน มือยกขึ้นเลื่อนบานประตูช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง  เท้าวางลงบนพื้นพรมอ่อนนุ่มค่อยๆ คืบคลานไปหาร่างที่นอนอยู่บนเตียง

เอเลนค่อยๆ โน้มตัวลงลดระยะห่าง ใกล้…ชนิดที่ว่าเขาสามารถเห็นรอยตำหนิจางๆ บนผิวหน้าคนอายุมากกว่าที่ไม่เคย

สังเกตเห็นมาก่อน สองมือประคองใบหน้าคมนั้นขึ้น

เสียงหัวใจของตัวเองดังก้องในสมองจนอื้ออึงราวกับมีใครกำลังรัวกลองอยู่ในนั้น

มือเขา…สั่น

สั่นระริกอย่างหนักจนได้แต่ภาวนาว่าอีกฝ่ายอย่าได้ตื่นขึ้นมาตอนนี้เลย

เปลือกตาปิดสนิท….ขณะที่เคลื่อนเข้าหาใบหน้าอีกฝ่าย

ช้า…ช้าๆ….

ริมฝีปากบางแนบลงบนเรียวปากหนา บดเบียด..เน้นย้ำคล้ายกับประทับสลักตรึงเครื่องหมายแทนบางสิ่งบางอย่าง

แทนถ้อยคำ….คำพูดที่ไม่กล้าเอ่ยบอกไป

จูบแรก….ของเขา

กลิ่นหอมสะอาดสะอ้าน แนบชิดจนได้ยินเสียงหัวใจ เอเลนรู้สึกตื่นเต้นเผลอกลั้นหายใจไม่รู้ตัว แค่รวบรวมความกล้าขโมยจูบรีไวซังตอนหลับก็เขินจนแทบระเบิด แต่อีกคนกลับนอนหลับไม่รู้ตัว

อดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าลงไปใกล้ มือเรียวค่อยๆ วางแหมะบนแผ่นอกแน่นที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอแสดงอาการหลับลึก

 

กล้าๆ กลัวๆ

แต่ก็ทำลงไปจนได้

เอนใบหน้าตามฝ่ามือลงไปซบ… หูรับรู้ได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจที่ดังเป็นจังหวะหนักแน่นมั่นคงชวนให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน สองแขนถือวิสาสะโอบกอดคนอายุมากกว่า แล้วหลับลงทั้งที่ไม่ปล่อยมือโดยที่ทิ้งร่างทั้งร่างทาบกับร่างกายซีกซ้ายของอีกฝ่ายเต็มที่

ลมหายใจผ่อนเข้าออก…เด็กน้อยในอ้อมกอดหลับสนิทไปแล้วเรียบร้อย หากดวงตาเรียวสีเทาอันคมกริบของ-ผู้ปกครอง-กลับลืมตื่นขึ้น มือกร้านวางบนศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดนุ่มสลวย สายตาที่เฝ้ามองร่างบนอกนั้น นิ่งเฉยจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ

TBC. 

Talk Zone : จบตอนงงๆ แบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจไปค่ะ เพราะตอนหน้าจะเป็นความรู้สึกตลอดเวลาที่ผ่านมาของเด็กน้อยที่คุณผู้ปกครองไม่เคยรู้ ฮา

2 thoughts on “Guilt-3-

  1. ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ แต่เราไม่ได้เขียนฟิคไททันต่อไม่ได้แล้วค่ะ 😭😭

Leave a comment